ประยุทธ มหากิจศิริ 0
Share

36 ปี ประยุทธ มหากิจศิริ จากเจ้าพ่อเนสกาแฟไทยสู่ทางแยกอาณาจักร PM Group

ย้อนรอย ประยุทธ มหากิจศิริ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” ผู้สร้างอาณาจักร PM Group สู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังเผชิญมรสุมข้อพิพาทเนสท์เล่และคดีความที่ดิน อ่านบทวิเคราะห์เส้นทางธุรกิจ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมรดกแสนล้าน

ในหน้าประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย ชื่อของ ประยุทธ มหากิจศิริ จารึกไว้ถึงตำนานนักสู้ผู้สร้างอาณาจักร PM Group อันยิ่งใหญ่ ภาพจำของเขาคือ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” ฉายาที่สะท้อนถึงบทบาทสำคัญในการบุกเบิกอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปในประเทศ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เขาได้ขยายปีกอาณาจักร PM Group ให้ครอบคลุมธุรกิจหลากแขนง ตั้งแต่กาแฟ เหล็ก ทองแดง อสังหาริมทรัพย์ สนามกอล์ฟ การขนส่ง พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงโลกแห่งความบันเทิง ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ส่งผลให้ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในทำเนียบมหาเศรษฐีชั้นนำของไทยอย่างสม่ำเสมอ

ทว่า เรื่องราวความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มรสุมลูกใหญ่ได้ถาโถมเข้าใส่ประยุทธ มหากิจศิริ และอาณาจักรที่เขาสร้างมากับมือ ข้อพิพาททางธุรกิจอันขมขื่นกับเนสท์เล่ พันธมิตรที่ร่วมทางกันมานานกว่าสามทศวรรษ นำไปสู่การยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เคยแนบแน่น ซ้ำเติมด้วยคดีความเกี่ยวกับที่ดินซึ่งนำมาสู่คำพิพากษาที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อศาลตัดสินลงโทษจำคุกเขาและบุตรสาวเป็นเวลาหลายปี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างรอยด่างพร้อยให้กับชื่อเสียงและสถานะของครอบครัวมหากิจศิริ แต่ยังก่อให้เกิดคำถามตัวโตถึงอนาคตของ PM Group และมรดกทางธุรกิจที่สั่งสมมา

ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

บทความสารคดีชิ้นนี้ จะพาผู้อ่านย้อนรอยเส้นทางชีวิตและธุรกิจของประยุทธ มหากิจศิริ ตั้งแต่ก้าวแรกสู่สังเวียนธุรกิจ การก่อร่างสร้างอาณาจักร PM Group เผยกลยุทธ์ที่นำพาธุรกิจสู่ความสำเร็จ สำรวจบทบาทและอิทธิพลที่แผ่ขยายไปไกลกว่าแวดวงธุรกิจ และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างอดีตอันรุ่งโรจน์กับการเผชิญหน้าความท้าทายครั้งสำคัญในปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศไทย

กำเนิดตำนานก้าวแรกสู่บัลลังก์ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ”

เรื่องราวของประยุทธ มหากิจศิริ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกา คว้าปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยซานดิเอโกในปี พ.ศ. 2512 ประสบการณ์และการศึกษาจากโลกตะวันตกน่าจะเป็นเบ้าหลอมสำคัญที่ทำให้เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่แตกต่าง และวางรากฐานกลยุทธ์ที่เฉียบคมในเวลาต่อมา นอกจากนี้ เขายังได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่ง และผ่านการอบรมหลักสูตรสำคัญอย่างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. 388) ในปี พ.ศ. 2538 ซึ่งล้วนเสริมสร้างเครือข่ายและวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น

ประยุทธ มหากิจศิริ กับธุรกิจร่วมทุนเนสกาแฟในประเทศไทย

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชื่อของประยุทธ มหากิจศิริ โด่งดังไปทั่วประเทศ คือการก้าวเข้าสู่วงการกาแฟสำเร็จรูป แม้หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเขาคือเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟในไทย แต่ความจริงแล้ว บทบาทของเขาคือผู้ร่วมก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ (51%) ในบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) โรงงานผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์เนสกาแฟให้กับบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด QCP ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2532 จากการจับมือกันระหว่างกลุ่มมหากิจศิริกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง เนสท์เล่ เอส.เอ. จากสวิตเซอร์แลนด์ โรงงานแห่งนี้ได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (BOI) และมีสัญญาผูกพันในการส่งมอบผลผลิตทั้งหมดให้กับเนสท์เล่ (ไทย) การกุมบังเหียนโรงงานผลิตกาแฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และความสัมพันธ์อันยาวนานกับแบรนด์ระดับโลก ทำให้ประยุทธ มหากิจศิริ ได้รับการขนานนามว่า “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” ตำแหน่งนี้ไม่เพียงสร้างชื่อเสียง แต่ยังนำมาซึ่งรายได้มหาศาล ทั้งในรูปของเงินเดือน ค่าตอบแทนกรรมการ ส่วนแบ่งจากยอดขาย และเงินปันผลจากกำไรของ QCP

แต่ประยุทธ มหากิจศิริ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจกาแฟ ด้วยสายตาที่มองการณ์ไกล เขาเริ่มกระจายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ตั้งแต่ยุคแรกๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เขาคือผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสเตนเลสรีดเย็นรายแรกในอาเซียน ต่อมาคือ บริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) แม้ภายหลังไทยคอปเปอร์ฯ จะประสบปัญหาจนถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในปี พ.ศ. 2559 แต่การลงทุนเหล่านี้สะท้อนวิสัยทัศน์ในการกระจายความเสี่ยงและสร้างฐานธุรกิจที่หลากหลายตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ เขายังรุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการ ด้วยการเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟหรู เลควูด คันทรี คลับ การขยายปีกทางธุรกิจในช่วงแรกนี้ เปรียบเสมือนการวางเสาเข็มที่แข็งแกร่งให้กับอาณาจักร PM Group ที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษต่อมา

สยายปีกอาณาจักร PM Group กลยุทธ์แห่งการเติบโตและการกระจาย

จากรากฐานที่มั่นคงในธุรกิจกาแฟและอุตสาหกรรมหนัก ประยุทธ มหากิจศิริ ได้นำพา PM Group ทะยานขึ้นสู่การเป็นกลุ่มบริษัทโฮลดิ้งขนาดใหญ่ ด้วยกลยุทธ์สำคัญคือ การกระจายการลงทุน (Diversification) เข้าสู่หลากหลายอุตสาหกรรม อาณาจักรของเขาแผ่ขยายครอบคลุมทั้งบริษัทที่โลดแล่นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจนอกตลาดฯ ที่เติบโตอย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง ทำให้ PM Group กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสนใจหลากหลาย และมีมูลค่ารวมกันนับแสนล้านบาท

เพชรเม็ดงามในตลาดหลักทรัพย์ฯ

PM Group ปักหมุดในตลาดทุนผ่านบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง สะท้อนการขยายตัวสู่ภาคส่วนต่างๆ

  1. บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA): เปรียบเสมือนเรือธงในการขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่ม TTA ดำเนินธุรกิจหลากหลายผ่านบริษัทย่อย ได้แก่
    • ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง (Thoresen Shipping): ล่องเรือฝ่าคลื่นลมในน่านน้ำสากล
    • ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง (Mermaid Maritime PCL.): ให้บริการสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ รวมถึงโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งที่กำลังมาแรง
    • ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร (บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) – PMTA): ลงทุนใน Baconco ยักษ์ใหญ่ด้านปุ๋ยและเคมีเกษตรในเวียดนาม
    • ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: นำทัพโดยแบรนด์แฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Pizza Hut และ Taco Bell บุกตลาดฟาสต์ฟู้ดในไทย ผ่านบริษัทย่อยที่ TTA กุมบังเหียน
    • ธุรกิจการลงทุนอื่นๆ: ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจจัดการทรัพยากรน้ำ (เช่น การจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง สปป.ลาว ผ่าน AIM) บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ไปจนถึงธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว (บจก. พี 80 เจ็ท – P80J)
  2. บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) (TFI): ชื่อเดิม บริษัท ไทยฟิวเจอร์อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตฟิล์มสำหรับบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์หลากหลายชนิด เช่น BOPP, Polyester, CPP และ Metallized Film ป้อนทั้งตลาดในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก

ขุมทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกเหนือจากบริษัทมหาชน PM Group ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยทายาทรุ่นที่สอง

โดนัทคริสปี้ครีม ของฝากยอดนิยมสำหรับคนไทย
  1. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (เพิ่มเติม)
    • Krispy Kreme: โดนัทแบรนด์ดังที่สร้างปรากฏการณ์คิวยาวเหยียด บริหารโดย บจก. เคเอฟยู (KFU) หรือ บริษัท เคดีเอ็น จำกัด (KDN) ภายใต้การนำของ อุษณีย์ มหากิจศิริ KDN ยังเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์แบรนด์ดังอื่นๆ เช่น Cinnabon, Bulgogi Brothers, Jamba Juice และ IHOP
    • Kyushu Jangara Ramen: รสชาติต้นตำรับราเมงจากญี่ปุ่น
    • P80: นวัตกรรมเครื่องดื่มและเสริมอาหารจากสารสกัดลำไยเข้มข้น 100% ที่ชูจุดเด่นด้านสุขภาพ ด้วยสารสำคัญอย่าง Gallic Acid, Ellagic Acid, GABA, Tannic Acid, Corilagin พร้อมการรับรองจากสถาบันในต่างประเทศ (ADSI)
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
    • บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (PMTP): พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น
    • The Nest Property: สร้างสรรค์คอนโดมิเนียมและบ้านในทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ
    • สนามกอล์ฟ: นอกจาก เลควูด คันทรี คลับ ยังมี เมาน์เท่นครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ ท่ามกลางธรรมชาติที่เขาใหญ่
  3. ธุรกิจบันเทิง
    • บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (411 Entertainment): นำทัพโดย เฉลิมชัย มหากิจศิริ สร้างสีสันให้วงการบันเทิงไทย ทั้งการจัดคอนเสิร์ต อีเวนต์ และปั้นศิลปินผ่านค่ายเพลง 411 Music ที่มีดาวรุ่งอย่าง แอลลี่-อชิรญา นิติพน
  4. ธุรกิจการบิน
    • บริษัท พี 80 แอร์ จำกัด (P80 Air): สายการบินราคาประหยัดน้องใหม่ ที่กำลังเตรียมความพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า รอเพียงใบอนุญาตดำเนินการ (AOC) คาดว่าจะเริ่มให้บริการในไม่ช้า
  5. ธุรกิจอื่นๆ
    • บริษัท คาร์บอน ทีค จำกัด: ลงทุนในธุรกิจปลูกไม้สักอย่างยั่งยืน เพื่ออนาคตสีเขียว
    • บริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด: หัวใจหลักในการบริหารจัดการการลงทุนของทั้งกลุ่ม

กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลายมิตินี้ สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ ของ PM Group ตั้งแต่ธุรกิจอุตสาหกรรมพื้นฐาน สู่ธุรกิจบริการและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ การนำโมเดลแฟรนไชส์และการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติมาใช้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเร่งสปีดการเติบโต อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาพันธมิตรก็เปรียบเสมือนดาบสองคม ดังที่ปรากฏรอยร้าวในความสัมพันธ์กับเนสท์เล่ในเวลาต่อมา

ภาพลักษณ์ บทบาท และเงา

นอกเหนือจากความสำเร็จในโลกธุรกิจ ประยุทธ มหากิจศิริ ยังเป็นบุคคลที่มีบทบาทและอิทธิพลน่าสนใจ ทั้งในเวทีการเมืองและสังคมไทย ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์สาธารณะของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทบาทบนเวทีการเมือง

ประยุทธ มหากิจศิริ เคยโลดแล่นบนเส้นทางการเมือง ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายวาระ เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2540 ก่อนจะเข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค รวมถึงเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในยุคของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นการส่วนตัว การสวมหมวกนักการเมืองเหล่านี้ สะท้อนความพยายามในการสร้างอิทธิพลที่นอกเหนือไปจากอาณาจักรธุรกิจ

ทว่า เส้นทางการเมืองของเขาก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เขาถูกใบแดงทางการเมืองถึงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2543-2548) จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2545 ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ครั้งที่สอง เขาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอีก 5 ปี ในปี พ.ศ. 2550 ในฐานะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบพรรคไปในคดีประวัติศาสตร์ แม้จะห่างหายจากตำแหน่งทางการเมืองโดยตรงหลังจากนั้น แต่เขาก็ยังคงปรากฏตัวในแวดวงการเมืองอยู่บ้าง ดังเช่นการเป็นผู้บริจาคเงิน 10 ล้านบาท ให้กับพรรคพลังประชารัฐในงานระดมทุนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2561

ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและการเมืองเป็นประเด็นที่ซับซ้อน การดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงพร้อมกับการบริหารกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ อาจสร้างความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูล โอกาส หรือแม้กระทั่งสิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น สิทธิประโยชน์ BOI ที่ QCP ได้รับ ในทางกลับกัน ความสำเร็จทางธุรกิจก็เป็นฐานทุนสำคัญในการก้าวสู่เวทีการเมือง แต่การถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็สะท้อนความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางธุรกิจได้เช่นกัน การบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐในภายหลัง อาจเป็นการปรับตัวเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจใหม่ และลดความเสี่ยงในระยะยาว

ภาพลักษณ์และการยอมรับในสังคม

ประยุทธ มหากิจศิริ ได้รับการยอมรับในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง การติดอันดับมหาเศรษฐีของนิตยสาร Forbes อย่างต่อเนื่องเป็นเครื่องยืนยัน เขายังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงจากประเทศไทย ทั้งชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) ในปี พ.ศ. 2546 และประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) ในปี พ.ศ. 2540 รวมถึงเครื่องอิสริยาภรณ์ L’Ordre National de la Legion d’Honneur จากประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล “พ่อตัวอย่างแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ. 2565

ในช่วงหลัง ประยุทธ มหากิจศิริ ได้หันมาใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เปิดเพจเฟซบุ๊ก “Let’s Try Style Prayudh” เพื่อสื่อสารโดยตรงกับสาธารณชน แบ่งปันประสบการณ์และมุมมองชีวิต การสร้างภาพลักษณ์ผ่านรางวัล เกียรติยศ และการสื่อสารโดยตรงนี้ อาจเป็นการสร้างสมดุลกับข่าวสารด้านลบจากประเด็นทางการเมืองและคดีความต่างๆ ฉายา “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” ยังคงเป็นภาพจำที่แข็งแกร่ง แม้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเนสท์เล่จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม

มรสุมครั้งใหญ่ รอยร้าวและมหากาพย์คดีความ

หลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบครั้งใหญ่หลวงสำหรับประยุทธ มหากิจศิริ และอาณาจักร PM Group เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์สองด้านพร้อมกัน ทั้งรอยร้าวทางธุรกิจกับเนสท์เล่ และมหากาพย์คดีที่ดินที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง

บริษัทร่วมทุนเนสกาแฟ QCP รอยร้าวที่นำไปสู่การแตกหัก

รอยร้าวกับเนสท์เล่ จุดจบของพันธมิตร 34 ปี

ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดำเนินมายาวนานกว่า 34 ปี ระหว่างกลุ่มมหากิจศิริและเนสท์เล่ ผ่านบริษัทร่วมทุน QCP ผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปเนสกาแฟป้อนตลาดไทย ได้เดินทางมาถึงจุดแตกหักอย่างเป็นทางการ

  • จุดเริ่มต้นแห่งรอยร้าว: เนสท์เล่ได้แจ้งยุติสัญญาการให้สิทธิ์ QCP ในการผลิตเนสกาแฟตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 การยุติสัญญานี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 หลังคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน มีคำตัดสินชี้ขาดว่าการบอกเลิกสัญญาของเนสท์เล่นั้นชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามข้อตกลง ทว่า ทั้งสองฝ่ายกลับไม่สามารถตกลงกันได้ถึงอนาคตของ QCP หลังสิ้นสุดสัญญา
  • สมรภูมิในศาลไทย: ฝ่ายมหากิจศิริ โดยเฉพาะ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้เปิดศึกทางกฎหมาย ยื่นฟ้องบริษัทในเครือเนสท์เล่และกรรมการต่อศาลแพ่งในประเทศไทย (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแพ่งมีนบุรี) กล่าวหาว่าเนสท์เล่ผิดสัญญาและเรียกเก็บค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) จาก QCP เกินจริง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท
  • คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวสะเทือนตลาด: เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามเนสท์เล่ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย หรือนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย คำสั่งนี้เปรียบเสมือนคลื่นสึนามิที่ซัดเข้าใส่ตลาดกาแฟไทย
  • เนสท์เล่โต้กลับ: เนสท์เล่ประกาศยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาล โดยหยุดรับคำสั่งซื้อเนสกาแฟจากผู้ค้าปลีกทันที แต่ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมยื่นคัดค้านและขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยอ้างว่าศาลไทยอาจยังไม่ได้รับทราบคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันไปก่อนหน้า นอกจากนี้ เนสท์เล่ เอส.เอ. ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท QCP ซึ่งคดียังอยู่ในกระบวนการพิจารณา
  • ผลกระทบระลอกคลื่น: การหยุดชะงักของเนสกาแฟส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดกาแฟสำเร็จรูปมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท ผู้บริโภคหาซื้อสินค้าได้ยากขึ้น ร้านค้าปลีกขายได้เพียงสต็อกเก่า และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ สถานการณ์นี้ยังเปิดช่องให้คู่แข่งเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด
  • นัยยะซ่อนเร้นและกลยุทธ์ทางกฎหมาย: ข้อพิพาทนี้สะท้อนความเสี่ยงของการร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ ที่มักสงวนสิทธิ์ในการควบคุมแบรนด์ไว้อย่างเบ็ดเสร็จ กรณีนี้ตอกย้ำความแตกต่างระหว่าง “ผู้ผลิต” (QCP) กับ “เจ้าของแบรนด์” (Nestlé) การที่ฝ่ายมหากิจศิริเลือกใช้กระบวนการศาลไทยหลังไม่ประสบความสำเร็จในเวทีอนุญาโตตุลาการ อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงกดดันในตลาดสำคัญ และเพิ่มอำนาจต่อรองเกี่ยวกับทรัพย์สินของ QCP (โรงงานผลิต) สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความซับซ้อนของข้อพิพาทข้ามพรมแดน ที่อาจนำไปสู่คำตัดสินที่ขัดแย้งกัน นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า การเดินเกมรุกทางกฎหมายต่อเนสท์เล่อาจเชื่อมโยงกับแรงกดดันทางการเงินจากคดีที่ดินที่กำลังเผชิญอยู่ การต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์จาก QCP ซึ่งเคยเป็นขุมทรัพย์สำคัญ อาจมีความสำคัญมากขึ้นในยามที่กลุ่มกำลังเผชิญวิกฤตจากคดีความอื่น

มหากาพย์คดีที่ดินเงาแห่งอดีตที่ตามหลอกหลอน

นอกเหนือจากสมรภูมิธุรกิจกับเนสท์เล่ ประยุทธ มหากิจศิริ และครอบครัว ยังต้องเผชิญกับมหากาพย์คดีความเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบหลายคดี ซึ่งนำไปสู่คำพิพากษาที่หนักหน่วงและสร้างความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวง

สนามกอล์ฟ เมาน์เท่นครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเด้นช์
สนามกอล์ฟ เมาน์เท่นครีกฯ กับคดีพันกับการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนป่าสงวน
  • คำพิพากษาคดีสนามกอล์ฟเมาน์เทนครีก (1 พฤษภาคม 2568)
    • ศาล: ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 (จังหวัดสุรินทร์)
    • ใจความสำคัญ: คดีนี้เกี่ยวพันกับการออกเอกสารสิทธิ์ (น.ส. 3 ก. และโฉนดที่ดิน) สำหรับที่ดินโครงการสนามกอล์ฟเมาน์เทนครีกฯ ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยมิชอบ ด้วยการรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของรัฐ ทั้งเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนร่วมมือกันรังวัดสอบเขตและแบ่งแยกโฉนดอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้เนื้อที่ดิน “งอก” ขึ้นมาอย่างผิดกฎหมายราว 189 ไร่ คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการชี้มูลความผิดโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.
    • คำพิพากษา ประยุทธ มหากิจศิริ (จำเลยที่ 10): ศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 (บางแหล่งข่าวระบุ มาตรา 149 ประกอบ 86 แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการกระทำผิดต่อทรัพย์สินของรัฐดูสอดคล้องกับ ม.151 มากกว่า) ศาลลงโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 6 กระทง เป็น จำคุกทั้งสิ้น 24 ปี
    • คำพิพากษา อุษณา มหากิจศิริ (จำเลยที่ 9): บุตรสาวของนายประยุทธ ศาลพิพากษาว่ามีความผิดเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้นำชี้แนวเขตที่ดินในการรังวัด ลงโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 3 กระทง (บางแหล่งข่าวระบุ 4 กระทง) เป็น จำคุกทั้งสิ้น 12 ปี
    • ชะตากรรมจำเลยอื่น: คดีนี้มีจำเลยรวม 11 ราย ทั้งอดีตเจ้าพนักงานที่ดิน (นายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร ถูกจำคุก 42 ปี), อดีตนายช่างรังวัด (นายเทียมศักดิ์ จินดา ถูกจำคุก 30 ปี), เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก., บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ได้แก่ บริษัท เลควูดคันทรี่คลับ จำกัด (ปรับ 20,000 บาท) และ บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) (ปรับ 60,000 บาท) มีจำเลย 1 ราย (นายจิเทนเดอร์ พอล เวอร์มา) หลบหนี ศาลได้ออกหมายจับ
    • สถานะหลังคำพิพากษา: นายประยุทธ, น.ส. อุษณา และจำเลยอื่นรวม 6 ราย ได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ แต่เนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ยังไม่แล้วเสร็จทันเวลาทำการ ทำให้ทั้งหมดต้องถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำกลางสุรินทร์ มีรายงานว่านายประยุทธถูกคุมตัวในแดนพยาบาลเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ส่วน น.ส. อุษณา อยู่ในแดนแรกรับ ทนายความกำลังเร่งดำเนินการยื่นอุทธรณ์และขอประกันตัว (ข้อมูลล่าสุดยังไม่มีรายงานว่าได้รับการประกันตัว)
    • ท่าทีของจำเลย: ก่อนหน้านี้ นายประยุทธเคยยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่าการซื้อที่ดินและการรังวัดเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • เงื่อนปมคดีที่ดินกระบี่
    • คำพิพากษาในคดีเมาน์เทนครีก เกิดขึ้นหลังจากที่นายประยุทธเคยถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 8 พิพากษาจำคุกมาแล้วในคดีที่ดินที่จังหวัดกระบี่ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566
    • คดีนั้นเกี่ยวข้องกับการออกโฉนดโดยมิชอบในเขตปฏิรูปที่ดินและป่าไม้ถาวร ที่ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ โดยมีการนำที่ดินนอกหลักฐานของรัฐประมาณ 19 ไร่ มารวมกับที่ดินเดิม 66 ไร่
    • นายประยุทธ (จำเลยที่ 6) ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานเช่นกัน และถูกลงโทษจำคุก 4 ปี แต่ลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือน ศาลยังสั่งเพิกถอนโฉนดดังกล่าว คดีนี้ ป.ป.ช. เป็นผู้ยื่นฟ้องเองเช่นกัน 21
  • คดีที่ดินที่ ป.ป.ช. ชี้มูลเพิ่ม (นครราชสีมา)
    • นอกเหนือจากสองคดีที่ศาลตัดสินแล้ว ป.ป.ช. ยังได้ชี้มูลความผิดนายประยุทธ และ น.ส. อุษณา พร้อมพวก ในอีกคดีหนึ่งที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567
    • คดีนี้กล่าวหาว่ามีการแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 2186 และ 2192 โดยนำที่ดิน ส.ป.ก. นอกหลักฐานเข้ามารวมในโฉนดโดยมิชอบ
    • ป.ป.ช. ชี้มูลว่านายประยุทธและ น.ส. อุษณา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 รวมถึงกฎหมายป่าไม้และกฎหมายที่ดิน (สถานะการดำเนินคดีในชั้นศาลยังไม่ปรากฏ)
    • ภาพสะท้อนและแรงสั่นสะเทือน: การที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและศาลมีคำพิพากษาลงโทษในหลายคดีที่เกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการขนาดใหญ่ ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินการที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมาย การกระทำผิดในลักษณะคล้ายคลึงกัน (ใช้การรังวัดโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อผนวกที่ดินรัฐเข้ากับโฉนดเอกชน) ในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการได้มาซึ่งที่ดินของกลุ่ม PM Group โทษจำคุกที่รุนแรงในคดีเมาน์เทนครีก แม้ในฐานะ “ผู้สนับสนุน” สะท้อนว่าศาลให้ความสำคัญกับการปกป้องทรัพยากรของรัฐ ผลกระทบที่ตามมาคือความเสียหายต่อชื่อเสียง และความไม่แน่นอนในการบริหาร PM Group เมื่อผู้นำหลัก (นายประยุทธ) และผู้บริหารสำคัญ (น.ส. อุษณา CEO ของ PMT Property) ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานาน สถานการณ์นี้สั่นคลอนแผนการสืบทอดธุรกิจ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของคู่ค้าและสถาบันการเงินในระยะยาว

กลยุทธ์ ปรัชญา และการส่งต่อคบเพลิง

ท่ามกลางความสำเร็จและมรสุม การทำความเข้าใจกลยุทธ์ทางธุรกิจ ปรัชญาการทำงาน และแผนการสืบทอดตำแหน่งของ PM Group เป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางอนาคตของอาณาจักรแห่งนี้

ถอดรหัสกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ

PM Group ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต

  • กระจายความเสี่ยง (Diversification): หัวใจหลักคือการขยายการลงทุนไปสู่หลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดการพึ่งพิงธุรกิจเดียว และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ตั้งแต่อุตสาหกรรมหนักสู่ธุรกิจบริการและไลฟ์สไตล์
  • จับมือพันธมิตร (Partnerships/JVs): การร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งไทยและเทศ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าสู่ตลาดใหม่ เข้าถึงเทคโนโลยี หรือใช้ประโยชน์จากแบรนด์ดัง เช่น การร่วมทุนกับเนสท์เล่ หรือบริษัทญี่ปุ่นในธุรกิจอสังหาฯ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงดังกรณีเนสท์เล่
  • พลังแห่งแฟรนไชส์ (Franchising): กลยุทธ์หลักในการบุกตลาดอาหารและเครื่องดื่มอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยแบรนด์ระดับโลก เช่น Pizza Hut, Taco Bell, Krispy Kreme
  • เดิมพันในธุรกิจใหม่ (New Ventures): PM Group กล้าที่จะกระโดดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น สายการบินราคาประหยัด (P80 Air) และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากสารสกัดลำไย (P80) ซึ่งมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับ และการรับรองจากสถาบันต่างประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ปรัชญาและหลักการทำงาน

จากข้อมูลที่ปรากฏ ปรัชญาของประยุทธ มหากิจศิริ เน้นย้ำที่

  • วิริยอุตสาหะ ความรับผิดชอบ และความสามารถ: สามเสาหลักในการทำงาน
  • เอาใจใส่คือหัวใจ: “คนเราถ้ารับผิดชอบแล้วเอาใจใส่ ความสำเร็จมันก็ง่ายขึ้น”
  • ไม่ประมาท: “ทำอะไรอย่าประมาท” คือคาถาประจำใจในการดำเนินธุรกิจ
  • สร้างคุณค่าระยะยาว: สะท้อนผ่านการสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ยืนหยัดมานานหลายทศวรรษ
  • แบ่งปันประสบการณ์: ผ่านเพจ “Let’s Try Style Prayudh”
3 ทายาทมหากิจศิริ (ซ้ายไปขวา) เฉลิมชัย, อุษณีย์, อุษณา

การส่งต่อคบเพลิงสู่ทายาทรุ่นต่อไป

มีการวางแผนและส่งมอบการบริหารงานให้ทายาทรุ่นที่สองอย่างเป็นระบบ

  • เฉลิมชัย มหากิจศิริ (กึ้ง): กุมบังเหียนในฐานะ CEO ของ TTA ดูแลธุรกิจหลักหลายส่วน ทั้งขนส่ง บริการนอกชายฝั่ง อาหาร (Pizza Hut, Taco Bell) และเคมีเกษตร เขายังเป็นแม่ทัพใหญ่ของ 411 Entertainment และมีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ไลฟ์สไตล์ รวมถึงเป็นผู้ดำเนินการหลักในข้อพิพาทกับเนสท์เล่
  • อุษณีย์ มหากิจศิริ: สร้างชื่อจากความสำเร็จในการนำ Krispy Kreme บุกตลาดไทย และบริหารกลุ่ม KDN/KFU ซึ่งดูแลแฟรนไชส์อาหารหลายแบรนด์
  • อุษณา มหากิจศิริ: ดำรงตำแหน่ง CEO ของ PMT Property ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญมรสุมจากคำพิพากษาในคดีที่ดินเมาน์เทนครีก

แม้มีรายงานว่า ประยุทธ มหากิจศิริ ได้ลดบทบาทลงเพื่อให้ทายาทเข้ามาบริหารเต็มตัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขายังคงเป็นเงาทรงอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

ทิศทางอนาคตและการเดิมพันครั้งใหม่

  • P80 Air: การลงทุนครั้งสำคัญเพื่อทะยานสู่ธุรกิจการบิน ได้รับใบอนุญาต AOL แล้ว และกำลังรอ AOC เดิมมีแผนจะเริ่มบินในปี พ.ศ. 2567 โดยใช้ดอนเมืองเป็นฐาน และมุ่งเจาะตลาดเมืองรองของจีน ด้วยเครื่องบิน Boeing 737-800 จำนวน 4 ลำ แต่ประสบปัญหาความล่าช้า ทำให้ต้องหาเครื่องบินใหม่ในตลาดที่แข่งขันสูงขึ้น การลงทุนนี้ถูกวางให้เป็นจิ๊กซอว์ต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ของ TTA ด้วยงบลงทุนเบื้องต้นราว 300 ล้านบาท โดยมีนายประยุทธเป็นประธาน และนายเฉลิมชัยเป็น CEO
  • ผลิตภัณฑ์ P80: ยังคงเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ชูคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีนายประยุทธเป็นพรีเซนเตอร์ และเชื่อมโยงกับประเด็นสุขภาพ เช่น ฝุ่น PM2.5
  • คาร์บอน ทีค (Carbon Teak): โครงการปลูกไม้สักเพื่อความยั่งยืน

การสืบทอดท่ามกลางพายุ: วิกฤตทางกฎหมายที่ประยุทธและอุษณา มหากิจศิริ กำลังเผชิญอยู่ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแผนการสืบทอดธุรกิจ การที่ผู้นำสูงสุดและผู้บริหารคนสำคัญต้องโทษจำคุก สร้างสุญญากาศทางภาวะผู้นำ บทบาทของเฉลิมชัย มหากิจศิริ จะยิ่งทวีความสำคัญ แต่เขาก็ต้องรับมือกับศึกหนักในข้อพิพาทกับเนสท์เล่ นี่คือบททดสอบครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างการบริหารและความสามารถในการรับมือวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน

เดิมพันครั้งใหญ่ในยามวิกฤต: การตัดสินใจเดินหน้าโครงการ P80 Air ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ดูเป็นการเดิมพันที่ท้าทายอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ความล่าช้าในการขอใบอนุญาตและการหาเครื่องบิน ยิ่งเพิ่มความซับซ้อน การระดมทุนอาจยากขึ้นจากผลกระทบด้านชื่อเสียงและภาระทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น โครงการนี้อาจกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ หรืออาจกลายเป็นภาระหนักอึ้งในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด

บทสรุปมรดกบนเส้นด้าย

เรื่องราวของ ประยุทธ มหากิจศิริ คือมหากาพย์ของนักธุรกิจผู้ไต่เต้าจากจุดเริ่มต้นในฐานะผู้ร่วมทุนโรงงานผลิตเนสกาแฟ สู่การก่อร่างสร้างอาณาจักร PM Group ที่แผ่ไพศาลครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม นี่คือตำนานของความทะเยอทะยาน วิสัยทัศน์ และความสามารถในการไขว่คว้าโอกาส กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง การร่วมทุน และการขยายสู่ธุรกิจบริการยุคใหม่ ผสานกับบทบาททางการเมือง ได้ส่งให้เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในแวดวงธุรกิจไทย

บัดนี้…อาณาจักรที่เขาสร้างมากับมือกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ความสำเร็จที่สั่งสมมานานกำลังถูกบดบังด้วยเงามืดของวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่สองด้าน “การสิ้นสุดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเนสท์เล่ท่ามกลางข้อพิพาททางกฎหมาย” และ “คำพิพากษาจำคุกอันหนักหน่วงในคดีที่ดิน” เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงท้าทายสถานะทางธุรกิจ แต่ยังส่งผลกระทบต่ออิสรภาพส่วนบุคคลและมรดกที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

มีความเป็นไปได้ว่าวิกฤตทั้งสองอาจเกี่ยวพันกัน แรงกดดันจากคดีที่ดินอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในข้อพิพาทกับเนสท์เล่ ซึ่งเคยเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงอาณาจักร ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงและแผ่กว้าง ทั้งความไม่แน่นอนในภาวะผู้นำ ความตึงเครียดทางการเงิน ความเสียหายต่อชื่อเสียง การหยุดชะงักของธุรกิจสำคัญ และความท้าทายในการเปิดตัวธุรกิจใหม่ สถานการณ์ทั้งหมดนี้ผลักภาระอันหนักอึ้งไปสู่ทายาทรุ่นที่สอง โดยเฉพาะ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ที่ต้องกุมบังเหียนนำพาองค์กรฝ่ามรสุมครั้งประวัติศาสตร์

คำถามสำคัญคือ มรดกของ ประยุทธ มหากิจศิริ จะถูกจดจำในรูปแบบใด? เขาจะเป็น “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” และนักสร้างอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ หรือภาพลักษณ์จะถูกครอบงำด้วยข้อพิพาทและคดีความในช่วงบั้นปลาย? ความเฉียบแหลมทางธุรกิจ กำลังถูกท้าทายด้วยคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับที่มาของที่ดิน

อนาคตของ PM Group แขวนอยู่บนเส้นด้าย ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำรุ่นต่อไปในการนำพาอาณาจักรฝ่าวิกฤตที่ซับซ้อน พวกเขาจะสามารถรักษาเสถียรภาพ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ ท่ามกลางความท้าทายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวของหนึ่งในตระกูลธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไทย

เรื่องโดย

  • นักเขียนสายเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมโยงแนวโน้มโลกกับชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงินดิจิทัล การปรับตัวในยุคเศรษฐกิจใหม่ หรือบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม เน้นการนำเสนอวิธีการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลง

  • บรรณาธิการ และนักเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะวัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ ของผู้คนรอบตัว ในยุคปัจจุบัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *