รับมือแผ่นดินไหว 0
Share

คู่มือเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหวในไทย ฉบับเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง ปี 2025

การรับมือแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่ในแนววงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงและบ่อยครั้งที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงจากรอยเลื่อนมีพลังภายในประเทศและผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน สถิติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้หลายครั้ง ทั้งที่มีศูนย์กลางภายในประเทศ เช่น ที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ กาญจนบุรี ตาก แพร่ และเพชรบูรณ์ รวมถึงแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ

แผ่นดินไหวภัยธรรมชาติใกล้ตัวคนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีศูนย์กลางในต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเมียนมาและบริเวณทะเลอันดามัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งวัดความรุนแรงได้ถึงขนาด 7.7 ตามรายงาน USGS และ AHA Centre หรือ 8.2 ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาไทย ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ถือเป็นเครื่องเตือนใจครั้งสำคัญ แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์ครั้งนั้นรับรู้ได้ในพื้นที่ถึง 63 จังหวัดของประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานคร สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด และน่าเศร้าที่มีรายงานอาคารถล่มในกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า แม้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวจะอยู่ไกลออกไป แต่ผลกระทบสามารถส่งมาถึงประเทศไทยได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในอาคารสูง

ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทย รู้ไว้…ไม่ประมาท

ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ รอยเลื่อนมีพลัง (Active Faults) ซึ่งเป็นรอยแตกของเปลือกโลกที่ยังคงมีการเคลื่อนตัวอยู่ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ได้ระบุว่ามีกลุ่มรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยจำนวน 16 กลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่พาดผ่านในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ของประเทศ.

พื้นที่เสี่ยงภัยหลักตามแนวรอยเลื่อนเหล่านี้ ได้แก่:

  • ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรอยเลื่อนพาดผ่านหลายแนว เช่น รอยเลื่อนแม่จัน แม่อิง แม่ทา แม่ฮ่องสอน เมย เถิน พะเยา ปัว และอุตรดิตถ์ พื้นที่เหล่านี้มีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ในอดีต
  • ภาคตะวันตก: จังหวัดกาญจนบุรี ตาก สุพรรณบุรี และอุทัยธานี ซึ่งมีรอยเลื่อนสำคัญคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ บริเวณเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางหลายครั้ง
  • ภาคใต้: จังหวัดระนอง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สุราษฎร์ธานี กระบี่ และภูเก็ต ซึ่งมีรอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุ่ยพาดผ่าน

นอกเหนือจาก 16 รอยเลื่อนหลักนี้ กรมทรัพยากรธรณียังคงศึกษาและเฝ้าระวังความเป็นไปได้ของรอยเลื่อนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน (Hidden Faults) ซึ่งอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ในอนาคต

ตารางที่ 1: กลุ่มรอยเลื่อนมีพลัง 16 กลุ่มในประเทศไทยและจังหวัดที่พาดผ่าน (ข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณี)

ลำดับชื่อกลุ่มรอยเลื่อนจังหวัดที่พาดผ่าน
1กลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน (Mae Chan)เชียงราย, เชียงใหม่
2กลุ่มรอยเลื่อนแม่อิง (Mae Ing)เชียงราย
3กลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน (Mae Hong Son)แม่ฮ่องสอน, ตาก
4กลุ่มรอยเลื่อนเมย (Mae Moei)ตาก, กำแพงเพชร
5กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา (Mae Tha)เชียงใหม่, ลำพูน, เชียงราย
6กลุ่มรอยเลื่อนเถิน (Thoen)ลำปาง, แพร่
7กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา (Phayao)พะเยา, เชียงราย, ลำปาง
8กลุ่มรอยเลื่อนปัว (Pua)น่าน
9กลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ (Uttaradit)อุตรดิตถ์
10กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ (Three Pagodas)กาญจนบุรี
11กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ (Si Sawat)กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, อุทัยธานี, ตาก
12กลุ่มรอยเลื่อนระนอง (Ranong)ระนอง, ชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์, พังงา
13กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย (Khlong Marui)สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา, ภูเก็ต
14กลุ่มรอยเลื่อนเพชรบูรณ์ (Phetchabun)เพชรบูรณ์, เลย
15กลุ่มรอยเลื่อนแม่ลาว (Mae Lao)เชียงราย
16กลุ่มรอยเลื่อนเวียงแหง (Wiang Haeng)เชียงใหม่

ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี

สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ แม้แต่พื้นที่ที่ไม่ได้อยู่บนแนวรอยเลื่อนโดยตรง เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยเฉพาะแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น รอยเลื่อนสะกายในเมียนมา หรือแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลอันดามัน ลักษณะทางธรณีวิทยาของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นดินอ่อน สามารถขยายความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนได้ และอาคารสูงมีความอ่อนไหวต่อการสั่นไหวจากแผ่นดินไหวระยะไกลมากกว่าอาคารเตี้ย เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อเดือนมีนาคม 2568 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงความเปราะบางนี้

ทำไมต้องเตรียมพร้อม?

หัวใจสำคัญของการรับมือแผ่นดินไหวคือ “การเตรียมพร้อม” เนื่องจากแผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าอาจให้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการอพยพหรือเตรียมการใดๆ หากไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า

ผลกระทบจากแผ่นดินไหวอาจรุนแรงและหลากหลาย ตั้งแต่ความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและทรัพย์สิน การพังทลายของสิ่งปลูกสร้าง การบาดเจ็บและเสียชีวิต อัคคีภัยจากแก๊สรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร การหยุดชะงักของระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา การสื่อสาร ความเสียหายต่อเส้นทางคมนาคม ถนน สะพาน และผลกระทบทางด้านจิตใจของผู้ประสบภัย ในกรณีที่แผ่นดินไหวเกิดใต้ทะเล อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาได้

การเตรียมพร้อมจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุ ลดความตื่นตระหนก และช่วยให้ฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การเตรียมพร้อมไม่ใช่เรื่องของการตื่นกลัว แต่เป็นการเพิ่มความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างมีสติและปลอดภัย

เตรียมพร้อมรับมือ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว

การลงมือปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุการณ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถควบคุมและจัดการความเสี่ยงต่างๆ ได้มากที่สุด การเตรียมพร้อมที่ดีจะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำรวจบ้านและอาคาร: เสริมความแข็งแรง ลดความเสี่ยง

ความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ควรตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างบ้านหรืออาคารที่พักอาศัย โดยเฉพาะบ้านเก่าหรืออาคารที่ไม่ได้ออกแบบตามมาตรฐานการต้านทานแผ่นดินไหวล่าสุด หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างเพื่อประเมินความแข็งแรงและขอคำแนะนำในการเสริมความมั่นคง กรมทรัพยากรธรณีทำงานร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมืองในการปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบอาคารในพื้นที่เสี่ยงภัย

นอกเหนือจากโครงสร้างหลักแล้ว สิ่งของภายในบ้านก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม:

  • ยึดเฟอร์นิเจอร์: ตู้หนังสือ ชั้นวางทีวี ตู้โชว์ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักมาก ควรยึดติดกับผนังให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการล้มทับขณะเกิดการสั่นไหว
  • จัดเก็บสิ่งของ: ไม่ควรวางสิ่งของหนัก เช่น กรอบรูป กระจก หรือวัตถุตกแต่ง ไว้บนชั้นสูงเหนือเตียงนอน โซฟา หรือบริเวณที่นั่งพักผ่อน ควรเก็บสิ่งของที่มีน้ำหนักมากหรือแตกหักง่าย (เช่น เครื่องแก้ว เซรามิก) ไว้ในตู้ชั้นล่าง หรือลิ้นชักที่ปิดสนิทและอาจมีตัวล็อก.30
  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแก๊ส: ตรวจสอบและซ่อมแซมสายไฟที่ชำรุด และจุดเชื่อมต่อแก๊สที่อาจรั่วซึม เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดแก๊ส วาล์วปิดน้ำ และสะพานไฟหลัก (เบรกเกอร์) และเรียนรู้วิธีปิดเมื่อจำเป็น
  • ยึดสิ่งของบนเพดาน: ตรวจสอบและยึดโคมไฟ พัดลมเพดาน หรือสิ่งของอื่นๆ ที่แขวนอยู่บนเพดานให้แข็งแรง
  • เก็บสารเคมีอันตราย: สารเคมี วัตถุไวไฟ หรือยาฆ่าแมลง ควรเก็บไว้ในตู้ชั้นล่างที่ปิดมิดชิดและล็อกแน่นหนา

การจัดการกับสิ่งของภายในบ้านเหล่านี้ แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากสิ่งของตกหล่นหรือล้มทับได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุการบาดเจ็บที่พบบ่อยในเหตุการณ์แผ่นดินไหว

จัดเตรียม “ชุดยังชีพฉุกเฉิน” พร้อมใช้เมื่อภัยมา

ในสถานการณ์ภัยพิบัติ ระบบสาธารณูปโภคอาจหยุดชะงัก และความช่วยเหลือจากภายนอกอาจยังมาไม่ถึง การมี “ชุดยังชีพฉุกเฉิน” (Emergency Survival Kit) เตรียมไว้ จะช่วยให้สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้ในช่วง 72 ชั่วโมงแรก หรือนานกว่านั้น.26 ควรจัดเตรียมชุดยังชีพไว้ในจุดที่หยิบฉวยได้ง่าย ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และอาจมีชุดเล็กๆ ติดรถไว้.26

ตารางที่ 2: รายการสิ่งของจำเป็นในชุดยังชีพฉุกเฉิน

หมวดหมู่รายการสิ่งของหมายเหตุ/คำแนะนำ
น้ำและอาหารน้ำดื่มสะอาดอย่างน้อย 3-4 ลิตรต่อคนต่อวัน
อาหารแห้ง/สำเร็จรูป/กระป๋องที่เก็บได้นาน ไม่ต้องแช่เย็น และเปิดทานได้ง่าย (พร้อมที่เปิดกระป๋องแบบไม่อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ให้แสงสว่างและการสื่อสารไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง หรือแบบมือหมุน/พลังงานแสงอาทิตย์ 27
วิทยุ AM/FMแบบใช้ถ่านหรือมือหมุน เพื่อรับฟังข่าวสาร 27
แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank)สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ
นกหวีดสำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ 31
ปฐมพยาบาลและสุขอนามัยชุดปฐมพยาบาลพร้อมคู่มือการใช้งาน 27
ยาประจำตัวสำหรับสมาชิกในครอบครัวที่มีโรคประจำตัว (สำรองอย่างน้อย 7 วัน) 24
หน้ากากอนามัย/ผ้าปิดจมูกป้องกันฝุ่นละออง 26
เจลล้างมือ/สบู่แห้ง
ทิชชูเปียก/ทิชชูแห้ง
ถุงขยะสำหรับจัดการขยะและเป็นถุงสุขาฉุกเฉิน
เครื่องมือและอุปกรณ์อื่นๆประแจ/คีมสำหรับปิดวาล์วแก๊ส/น้ำ 27
เทปกาวผ้า (Duct Tape)ใช้งานได้หลากหลาย
ถุงมือทำงาน/ถุงมือผ้าป้องกันการบาดเจ็บจากเศษซาก 31
รองเท้าผ้าใบ/รองเท้าหุ้มส้นที่แข็งแรง สวมใส่สบาย 28
เสื้อผ้าสำรองรวมถึงเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว 31
ผ้าห่มฉุกเฉิน (Emergency Blanket)
แผนที่ท้องถิ่นกรณีระบบนำทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้ไม่ได้
เอกสารสำคัญและเงินสดสำเนาเอกสารสำคัญบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารประกันภัย เอกสารทางการแพทย์ ฯลฯ (เก็บในถุงกันน้ำ)
เงินสดจำนวนหนึ่ง เผื่อระบบ ATM/บัตรเครดิตใช้ไม่ได้
รายชื่อผู้ติดต่อฉุกเฉิน
สำหรับเด็กเล็ก/ผู้สูงอายุ/ผู้พิการ/สัตว์เลี้ยงอาหาร นม ผ้าอ้อม ยา อุปกรณ์จำเป็นตามความต้องการเฉพาะ

หมายเหตุ ควรตรวจสอบและหมุนเวียนสิ่งของในชุดยังชีพทุก 6 เดือน โดยเฉพาะอาหาร น้ำ ยา และแบตเตอรี่

วางแผนครอบครัว รู้จุดนัดพบ รู้วิธีติดต่อ

การมีแผนรับมือร่วมกันในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ควรพูดคุยกันถึง

  • จุดปลอดภัยในบ้าน: กำหนดจุดที่ปลอดภัยในแต่ละห้อง เช่น ใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือชิดผนังด้านในที่ไม่มีหน้าต่างหรือสิ่งของแขวนอยู่
  • จุดนัดพบ: กำหนดจุดนัดพบ 2 จุด คือ จุดใกล้บ้าน (กรณีต้องอพยพออกจากบ้านทันที) และจุดนอกละแวกบ้าน (กรณีไม่สามารถกลับเข้าพื้นที่ได้)
  • การติดต่อสื่อสาร: กำหนดบุคคลติดต่อหลักนอกพื้นที่ (เช่น ญาติหรือเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัด) ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปแจ้งสถานะได้ เนื่องจากสายโทรศัพท์ทางไกลอาจใช้งานได้ดีกว่าสายในพื้นที่ประสบภัย
  • แผนอพยพ: ทราบเส้นทางอพยพออกจากบ้านและชุมชน และฝึกซ้อมการอพยพเป็นครั้งคราว

เรียนรู้และฝึกซ้อม การปฐมพยาบาลและการปิดสาธารณูปโภค

ความรู้และทักษะพื้นฐานสามารถช่วยชีวิตได้

  • การปฐมพยาบาล: เข้ารับการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในกรณีบาดเจ็บ
  • การปิดสาธารณูปโภค: เรียนรู้วิธีและตำแหน่งในการปิดวาล์วแก๊ส วาล์วน้ำ และเบรกเกอร์ไฟฟ้าหลักของบ้าน ข้อควรจำ: ควรปิดแก๊สก็ต่อเมื่อได้กลิ่นแก๊สรั่ว หรือสงสัยว่าท่อแก๊สเสียหายเท่านั้น และควรปิดไฟฟ้าหากสงสัยว่าระบบไฟฟ้าเสียหาย
  • การดับเพลิง: มีเครื่องมือดับเพลิงขนาดเล็กไว้ในบ้าน และเรียนรู้วิธีใช้งาน

การเตรียมพร้อมเหล่านี้เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัย ที่ทุกคนสามารถทำได้ และจะสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

เผชิญเหตุการณ์ขณะเกิดแผ่นดินไหว

ช่วงเวลาที่แผ่นดินกำลังสั่นไหว อาจกินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที แต่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด การปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและมีสติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

หลักการสำคัญ “หมอบ ป้อง เกาะ”

หลักการสากลที่ได้รับการยอมรับและแนะนำอย่างกว้างขวางคือ “หมอบ ป้อง เกาะ”

  • หมอบ (DROP): ทรุดตัวลงกับพื้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันการล้ม
  • ป้อง (COVER): หาที่กำบังโดยมุดเข้าไปใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง หากไม่มี ให้เคลื่อนตัวไปชิดผนังด้านใน (ที่ไม่ใช่ผนังด้านนอกอาคาร) และใช้แขนกำบังศีรษะและลำคอ อยู่ให้ห่างจากหน้าต่าง กระจก หรือสิ่งของที่อาจตกหล่นใส่
  • เกาะ (HOLD ON): ยึดที่กำบัง (เช่น ขาโต๊ะ) ไว้ให้มั่น และเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ตามหากที่กำบังเคลื่อนที่ รอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลง

การปฏิบัติตามหลักการนี้จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากสิ่งของตกหล่นหรืออาคารถล่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์แผ่นดินไหว

เมื่ออยู่ในอาคาร

  • ปฏิบัติตามหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” ทันที
  • อยู่ห่างจาก: หน้าต่าง ประตูกระจก ผนังด้านนอกอาคาร ตู้หนังสือ โคมไฟ หรือเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่อาจล้มทับ
  • หากอยู่บนเตียง: ให้คงอยู่บนเตียง ใช้หมอนป้องกันศีรษะ เว้นแต่เตียงอยู่ใต้โคมไฟขนาดใหญ่หรือสิ่งของที่อาจตกลงมา
  • ห้ามวิ่งออกนอกอาคาร: อันตรายส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกอาคารจากเศษวัสดุที่ร่วงหล่น หรือโครงสร้างที่พังทลาย ให้อยู่ในอาคารจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลงและแน่ใจว่าปลอดภัยที่จะออกมา
  • ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด: ลิฟต์อาจหยุดทำงานหรือเกิดความเสียหาย ทำให้ติดค้างอยู่ภายใน หากกำลังอยู่ในลิฟต์ ให้กดปุ่มทุกชั้นและพยายามออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดในชั้นที่ปลอดภัย
  • หากอยู่ในอาคารสูง: ปฏิบัติตามหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” เตรียมพร้อมสำหรับเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้หรือระบบสปริงเกลอร์ทำงาน เมื่อการสั่นสะเทือนหยุดลง ให้ประเมินสถานการณ์ หากจำเป็นต้องอพยพ ให้ใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น
  • หากอยู่ในที่ชุมชน: เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ให้ “หมอบ ป้อง เกาะ” ณ จุดที่อยู่ อย่ากรูกันไปที่ทางออก ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
  • การปิดแก๊ส/เปิดประตู: หากกำลังทำอาหาร ให้รีบปิดเตาแก๊ส เฉพาะในกรณีที่ทำได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ก่อนที่จะหมอบหาที่กำบัง อาจพิจารณาเปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งไว้เล็กน้อยก่อนหาที่กำบัง เพื่อป้องกันประตูกรอบบิดเบี้ยวจนเปิดไม่ได้หลังแผ่นดินไหว

เมื่ออยู่นอกอาคาร

  • เคลื่อนตัวไปยังที่โล่ง: หาที่โล่งแจ้ง ห่างจากอาคาร เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ กำแพง สะพานลอย หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่อาจล้มทับหรือมีเศษวัสดุร่วงหล่น
  • หมอบลงกับพื้น: เมื่ออยู่ในที่โล่งแล้ว ให้หมอบลงกับพื้นและใช้แขนป้องกันศีรษะ รอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลง.

เมื่ออยู่ในรถยนต์

  • หยุดรถในที่ปลอดภัย: ชะลอความเร็วและจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการจอดใต้สะพาน ทางยกระดับ ใต้สายไฟฟ้า ใต้ต้นไม้ หรือใกล้อาคาร
  • อยู่ในรถ: คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ และอยู่ในรถจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุด ดึงเบรกมือ
  • เปิดไฟฉุกเฉิน: เพื่อเป็นสัญญาณเตือนรถคันอื่น
  • ฟังวิทยุ: ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากทางการ
  • ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง: เมื่อการสั่นสะเทือนหยุดลง ให้ขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง สังเกตความเสียหายของถนนและสะพาน

ข้อควรจำ: มีสติ ไม่ตื่นตระหนก

สิ่งสำคัญที่สุดในระหว่างเกิดเหตุคือการ “ตั้งสติ” ความตื่นตระหนกจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดและเพิ่มความเสี่ยงต่ออันตราย พยายามควบคุมความกลัว หายใจลึกๆ และปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยที่ได้เรียนรู้มา การกระทำตามสัญชาตญาณ เช่น การวิ่งหนีออกจากอาคารทันที มักเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ฟื้นฟูและรับมือหลังเกิดแผ่นดินไหว

เมื่อการสั่นสะเทือนครั้งแรกสิ้นสุดลง ภัยยังไม่จบสิ้น การปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในช่วงหลังเกิดเหตุมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและการฟื้นฟู

ตรวจสอบตนเองและคนรอบข้าง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

  • สำรวจการบาดเจ็บ: ตรวจสอบตนเองและบุคคลรอบข้างว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่.27
  • ปฐมพยาบาล: หากมีการบาดเจ็บ ให้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามความรู้ความสามารถ.27
  • ช่วยเหลือผู้อื่น: หากปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่หรือบาดเจ็บ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นสำคัญ.

ประเมินความปลอดภัย ตรวจสอบอาคารและสภาพแวดล้อม

  • ตรวจสอบอาคาร: สำรวจความเสียหายของอาคารที่พักอาศัยหรืออาคารที่อยู่ หากพบรอยร้าวขนาดใหญ่ โครงสร้างเสียหาย หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ให้อพยพออกจากอาคารทันที อย่าเพิ่งกลับเข้าไปจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญ
  • ตรวจสอบแก๊สรั่ว: ใช้การดมกลิ่น เท่านั้น เพื่อตรวจสอบว่ามีแก๊สรั่วหรือไม่ ห้ามจุดไฟหรือทำให้เกิดประกายไฟเด็ดขาด หากได้กลิ่นแก๊ส ให้รีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ปิดวาล์วแก๊สหลักที่ถังแก๊สหรือมิเตอร์ แล้วออกจากอาคารทันที แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ตรวจสอบไฟฟ้า: สังเกตความเสียหายของสายไฟ ประกายไฟ หรือกลิ่นไหม้ หากพบความผิดปกติ ให้รีบตัดกระแสไฟฟ้าที่เบรกเกอร์หลัก
  • ตรวจสอบระบบน้ำและท่อระบายน้ำ: ตรวจสอบความเสียหายของท่อน้ำดีและท่อน้ำทิ้งก่อนใช้งาน
  • เปิดตู้ด้วยความระมัดระวัง: สิ่งของภายในตู้อาจเลื่อนหล่นลงมาได้เมื่อเปิดประตู
  • ทำความสะอาดสารเคมี: หากมีสารเคมี ยาฆ่าแมลง หรือวัตถุไวไฟหกหล่น ให้รีบทำความสะอาดด้วยความระมัดระวัง

ระวังอาฟเตอร์ช็อก

แผ่นดินไหวขนาดใหญ่มักจะมี อาฟเตอร์ช็อก (Aftershocks) หรือแผ่นดินไหวตาม เกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาจเกิดต่อเนื่องนานหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหลายเดือน อาฟเตอร์ช็อกอาจมีความรุนแรงพอที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมให้กับอาคารที่อ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้น ต้องเตรียมพร้อมที่จะ “หมอบ ป้อง เกาะ” อีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน การติดตามสถานการณ์อาฟเตอร์ชอกจากหน่วยงานราชการเป็นสิ่งจำเป็น

ติดตามข่าวสารจากทางการ (Follow Official Information)

ในภาวะวิกฤต ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

  • รับฟังประกาศ: เปิดวิทยุที่ใช้ถ่านไฟฉาย หรือติดตามข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) หรือสำนักงานเขต/จังหวัด ผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดียทางการ
  • อย่าหลงเชื่อข่าวลือ: ไม่ส่งต่อหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะอาจสร้างความสับสนและความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

การสื่อสาร ใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็น

ระบบสื่อสารอาจขัดข้องหรือมีผู้ใช้งานหนาแน่นหลังเกิดภัยพิบัติ:

  • สงวนช่องสัญญาณ: ใช้โทรศัพท์เฉพาะกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เพื่อให้สายว่างสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
  • ใช้ข้อความสั้น (SMS): หากต้องการติดต่อครอบครัวหรือเพื่อน การส่งข้อความสั้นอาจมีโอกาสสำเร็จมากกว่าการโทรศัพท์ เนื่องจากใช้ช่องสัญญาณน้อยกว่า

ออกจากพื้นที่อันตรายไม่เข้าใกล้อาคารเสียหาย

  • หลีกเลี่ยงอาคารที่เสียหาย: ห้ามเข้าไปในอาคารที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากอาจเกิดการพังถล่มลงมาได้.28
  • ระวังสายไฟฟ้า: อยู่ให้ห่างจากสายไฟฟ้าที่ขาดหรือห้อยลงมา และวัตถุทุกชนิดที่สัมผัสกับสายไฟ.27
  • ระวังสึนามิ (หากอยู่ใกล้ชายฝั่ง): หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหรือรู้สึกสั่นไหวนานขณะอยู่บริเวณชายฝั่ง ให้อพยพขึ้นที่สูงทันทีหลังการสั่นสะเทือนหยุดลง โดยไม่ต้องรอประกาศเตือนภัย เพราะอาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้.25
  • อย่าเป็นไทยมุง: การเข้าไปมุงดูในพื้นที่ประสบภัยหรือบริเวณอาคารที่เสียหาย จะกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยและอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง.28
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน: หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณที่มีเศษซากปรักหักพัง ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นที่แข็งแรง กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว และถุงมือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ.28

หากติดอยู่ใต้ซากอาคาร

  • ป้องกันระบบหายใจ: ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือเศษผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการสูดดมฝุ่นละออง.26
  • ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ: พยายามเคาะท่อหรือผนังเป็นจังหวะ หรือใช้เสียงนกหวีด (หากมีในชุดยังชีพ) เพื่อให้หน่วยกู้ภัยทราบตำแหน่ง.26 การตะโกนควรทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะอาจทำให้สูดฝุ่นเข้าไปมากขึ้นและเปลืองพลังงาน.31
  • อยู่อย่างสงบ: พยายามตั้งสติและอยู่อย่างสงบ ไม่จุดไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น.31

การปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมที่ยังคงมีความไม่แน่นอนหลังเกิดแผ่นดินไหว

หน่วยงานช่วยเหลือและแหล่งข้อมูล

เมื่อเกิดภัยพิบัติ การทราบช่องทางการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่างๆ ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง แจ้งเตือน ให้ความช่วยเหลือ และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหว

หน่วยงานหลักภาครัฐ

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย: เป็นหน่วยงานหลักในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ มีหน้าที่วางแผน ป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟู รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ปภ. ยังดูแล ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนภัยต่างๆ รวมถึงแผ่นดินไหวและสึนามิ
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: มี กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ทำหน้าที่ตรวจวัด ติดตาม และรายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวทั้งในและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลขนาด ตำแหน่ง และความลึกของแผ่นดินไหวมาจากหน่วยงานนี้เป็นหลัก
  • กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ศึกษาและประเมินความเสี่ยงทางธรณีวิทยา รวมถึงการสำรวจและจัดทำแผนที่รอยเลื่อนมีพลัง ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว.
  • กรุงเทพมหานคร (กทม.): โดย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) รับผิดชอบการจัดการภัยพิบัติในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงการดับเพลิง กู้ภัย และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
  • กระทรวงสาธารณสุข (สธ.): ดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ รวมถึงการดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัยผ่านสายด่วนสุขภาพจิต สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) บริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย: เกี่ยวข้องกับการออกมาตรฐานและกฎหมายควบคุมอาคาร เพื่อให้มีความต้านทานต่อแรงแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงภัย

ช่องทางติดต่อและเว็บไซต์สำคัญ

การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงช่องทางการขอความช่วยเหลือ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤต

ตารางที่ 3: ช่องทางติดต่อและแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแผ่นดินไหว

หน่วยงาน/ประเภทบริการช่องทางติดต่อ/เว็บไซต์หมายเลขโทรศัพท์/Hotline
แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทั่วไปสถานีตำรวจในพื้นที่191
แจ้งเหตุอัคคีภัย/กู้ภัย (กทม.)สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. (สปภ.)199
แจ้งเหตุ/ขอความช่วยเหลือด้านสาธารณภัยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)1784
เว็บไซต์ ปภ.www.disaster.go.th
LINE ปภ. รับแจ้งเหตุ@1784DDPM
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.)1860 , 02-399-4114
เว็บไซต์ ศภช.ndwc.disaster.go.th
ข้อมูลแผ่นดินไหวกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD)1182 (สายด่วนกรมอุตุฯ)
เว็บไซต์ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวearthquake.tmd.go.th
เว็บไซต์สำรอง กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวeq.tmd.go.th
แอปพลิเคชัน EarthquakeTMD
ข้อมูลรอยเลื่อน/ธรณีวิทยากรมทรัพยากรธรณี (ทธ.)02-621-9700
เว็บไซต์ ทธ.www.dmr.go.th
บริการการแพทย์ฉุกเฉินสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)1669
สุขภาพจิตกรมสุขภาพจิต1323
ศูนย์เยียวยาจิตใจ (ช่วงวิกฤต)1667 41
ขอความช่วยเหลือ/บริจาคสภากาชาดไทย1664
เว็บไซต์ สภากาชาดไทยwww.redcross.or.th
ศูนย์รับบริจาค สภากาชาดไทยdonationhub.or.th 57, ธ.ไทยพาณิชย์ บัญชี “สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ” 045-3-04637-0 58
ติดต่อ กทม. (ทั่วไป)ศูนย์เรื่องราวร้องทุกข์ กทม.1555

องค์กรอื่นๆ

  • สภากาชาดไทย: มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงแผ่นดินไหว โดยมีสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ และสถานีกาชาดในภูมิภาคต่างๆ ทำหน้าที่มอบชุดธารน้ำใจ (ถุงยังชีพ) จัดหาที่พักพิงชั่วคราว ให้บริการทางการแพทย์ และรับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย.55
  • มูลนิธิและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs): มีหลายองค์กรที่ทำงานด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งอาจเข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละองค์กร.

การขอรับความช่วยเหลือ

ผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือที่อยู่อาศัยจากเหตุแผ่นดินไหว สามารถยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด

  • ช่องทางการยื่นเรื่อง: โดยทั่วไปจะต้องยื่นคำร้อง ณ สำนักงานเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล, อบต.) หรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ต่างจังหวัด
  • เอกสารหลักฐาน: อาจต้องใช้เอกสาร เช่น แบบคำร้อง สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่ายความเสียหาย หรือใบรับรองแพทย์ (กรณีบาดเจ็บ)
  • ระยะเวลา: ควรยื่นคำร้องภายในระยะเวลาที่กำหนดหลังเกิดเหตุการณ์ (เช่น ภายใน 30 วัน) ซึ่งอาจมีการขยายเวลาได้ตามประกาศของหน่วยงาน
  • ประเภทความช่วยเหลือ: อาจครอบคลุมค่าจัดการศพ ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ค่าซ่อมแซมบ้านเรือน หรือความช่วยเหลืออื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ

การมีข้อมูลหน่วยงานและช่องทางติดต่อเหล่านี้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและขอรับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ

บทสรุป เตรียมพร้อมวันนี้ เพื่อความปลอดภัยในวันหน้า

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างรุนแรง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เผชิญกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งเท่าบางประเทศ แต่ความเสี่ยงนั้นมีอยู่จริง ทั้งจากรอยเลื่อนมีพลังภายในประเทศและจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่เหตุการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่กว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถควบคุมการเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่เราสามารถควบคุมระดับการเตรียมพร้อมของตนเองได้ การเตรียมพร้อมอย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยง ลดความสูญเสีย และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์จริง

หลักการสำคัญที่ควรจดจำและนำไปปฏิบัติ ได้แก่

  1. รู้ความเสี่ยง (Know the Risk): ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงแผ่นดินไหวในพื้นที่ของตนเองและพื้นที่ใกล้เคียง
  2. วางแผนครอบครัว (Make a Plan): พูดคุย ตกลง และฝึกซ้อมแผนรับมือร่วมกันในครอบครัว
  3. เตรียมชุดยังชีพ (Build a Kit): จัดเตรียมสิ่งของจำเป็นให้พร้อมสำหรับดูแลตนเองอย่างน้อย 3 วัน
  4. เสริมความปลอดภัยในบ้าน (Secure Your Space): ตรวจสอบและยึดสิ่งของที่อาจเป็นอันตรายภายในบ้าน
  5. รู้วิธีปฏิบัติตน (Know What To Do During & After): จดจำหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” และข้อปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งขณะเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหว

การเตรียมพร้อมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือน่ากลัว แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชน การแบ่งปันความรู้และส่งเสริมให้คนรอบข้างเตรียมพร้อมไปด้วยกัน จะช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยและสังคมที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน เริ่มต้นเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ เพื่อความปลอดภัยในวันหน้า

เรื่องโดย

  • นักเขียนที่นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และการแสดงออกทางศิลปะ ความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมในโลกปัจจุบัน หรือความท้าทายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านงานเขียนที่กระตุ้นความคิดและสร้างแรงบันดาลใจ

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *