เชียงราย
เชียงรายเหนือสุดสยาม ดินแดนพญามังราย ต้นกำเนิดล้านนา ที่ตั้งวัดพระแก้ว พระธาตุดอยตุง และความหลากหลายชาติพันธุ์
จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศไทย เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและซับซ้อน มีบทบาทสำคัญในฐานะชุมทางการค้าและวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตกาล ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำอิง แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง สลับกับทิวเขาสูง ได้ส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความสำคัญทางการเมืองตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของเชียงรายครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณและอาณาจักรยุคแรกเริ่ม เช่น อาณาจักรโยนก และอาณาจักรหิรัญนครเงินยางเชียงแสน จุดเปลี่ยนสำคัญคือการสถาปนาเมืองเชียงรายโดยพญามังรายในปี พ.ศ. 1805 (ค.ศ. 1262) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจและเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาอันยิ่งใหญ่ หลังจากนั้น เชียงรายได้ผ่านช่วงเวลาภายใต้อิทธิพลและการปกครองของพม่า ก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูและรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์และพัฒนามาเป็นจังหวัดในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน จังหวัดเชียงรายไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สำคัญ แต่ยังคงเป็นศูนย์กลางการเกษตร และเป็นประตูเชื่อมโยงการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเชียงรายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดบทบาททางประวัติศาสตร์มาโดยตลอด การเป็นประตูสู่ภูมิภาคอื่นๆ ทั้งพม่า ลาว และจีนตอนใต้ ทำให้เชียงรายเป็นทั้งพื้นที่แห่งโอกาสในการแลกเปลี่ยนทางการค้าและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มักเป็นเป้าหมายของการขยายอำนาจจากอาณาจักรใหญ่โดยรอบ ดังปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ที่เชียงรายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจระหว่างล้านนา พม่า และสยามอยู่เนืองๆ ความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากบทบาทของเชียงรายในเส้นทางการค้าโบราณ เช่น เส้นทางคาราวาน และการพัฒนาเป็นเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ R3A และ R3B ในยุคสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่ขับเคลื่อนวิถีประวัติศาสตร์ของเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคอาณาจักรโบราณที่ต้องการควบคุมที่ราบลุ่มแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์และเส้นทางการค้า ไปจนถึงยุครัฐชาติสมัยใหม่ที่แข่งขันกันเพื่ออิทธิพลและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
แม้จะเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความเสื่อมถอย การถูกทิ้งร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการปกครองของพม่าและความขัดแย้งที่ตามมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายใต้ระบบการปกครองที่หลากหลาย เชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวและการปรับตัวอย่างน่าทึ่ง สามารถกลับมามีบทบาทสำคัญในบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันได้เสมอ การล่มสลายของอาณาจักรโยนกนำไปสู่การก่อตั้งเวียงปรึกษาและต่อมาคืออาณาจักรหิรัญนครเงินยาง หลังจากยุคพม่าและการถูกทิ้งร้าง เมืองเชียงรายได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2386 การเปลี่ยนแปลงจากนครรัฐกึ่งอิสระในอาณาจักรล้านนามาเป็นจังหวัดหนึ่งของสยามและประเทศไทยในเวลาต่อมา แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางการเมืองใหม่ๆ โครงการพัฒนาสมัยใหม่ เช่น โครงการพัฒนาดอยตุง และการเติบโตในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการค้า ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงการสร้างสรรค์และการปรับตัวอย่างไม่หยุดนิ่งของจังหวัดแห่งนี้ ซึ่งอาจได้รับพลังขับเคลื่อนจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ทำให้สามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้
ตารางที่ลำดับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จังหวัดเชียงราย
ช่วงเวลาโดยประมาณ | เหตุการณ์สำคัญ |
15,000 – 3,000 ปีที่แล้ว | การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในแอ่งเชียงแสน |
ก่อน พ.ศ. 1800 | การรุ่งเรืองของชุมชนโบราณและเมืองโบราณหลายแห่งตามลุ่มแม่น้ำกก; ยุคอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ โดยสิงหนวัติกุมาร |
หลังอาณาจักรโยนกล่มสลาย | การก่อตั้งเวียงปรึกษา |
ราวพุทธศตวรรษที่ 12-18 | การรุ่งเรืองของอาณาจักรหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ปกครองโดยราชวงศ์ลวจังกราช |
พ.ศ. 1782 | พญามังรายประสูติ |
พ.ศ. 1802 | พญามังรายขึ้นครองราชย์ ณ เมืองหิรัญนครเงินยาง |
พ.ศ. 1805 | พญามังรายสร้างเมืองเชียงราย |
พ.ศ. 1824 (หรือ 1835) | พญามังรายพิชิตอาณาจักรหริภุญไชย |
พ.ศ. 1839 | พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางอาณาจักรล้านนา |
พุทธศตวรรษที่ 19-21 | เชียงรายเป็นเมืองสำคัญในอาณาจักรล้านนา ปกครองโดยเชื้อพระวงศ์มังราย |
พ.ศ. 2101 | อาณาจักรล้านนา (รวมทั้งเชียงราย) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า |
พ.ศ. 2101 – 2347 | เชียงรายอยู่ภายใต้อำนาจพม่าเป็นส่วนใหญ่ มีช่วงเวลาของการต่อสู้และถูกทิ้งร้าง |
พ.ศ. 2386 | พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงราย |
ปลายพุทธศตวรรษที่ 24 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 | การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 เชียงรายรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลพายัพ |
พ.ศ. 2453 | ยกฐานะเมืองเชียงรายเป็นเมืองจัตวา (จังหวัด) ในมณฑลพายัพ |
พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน | เชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง |
พ.ศ. 2530 | เริ่มโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ |
พ.ศ. 2541 | บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เข้าบริหารท่าอากาศยานเชียงราย (ต่อมาคือท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย) |
การตั้งถิ่นฐานยุคแรกและอาณาจักรก่อนล้านนา
หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในบริเวณจังหวัดเชียงรายปัจจุบันย้อนกลับไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องมือหินที่ค้นพบในแอ่งเชียงแสนและพื้นที่โดยรอบบ่งชี้ถึงการดำรงอยู่ของสังคมล่าสัตว์และสังคมเกษตรกรรมยุคแรกเริ่ม เมื่อประมาณ 15,000 ถึง 3,000 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การค้นพบซากเมืองโบราณจำนวนมากถึง 27 แห่ง ตลอดสองฝั่งแม่น้ำกก แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญมาก่อนปี พ.ศ. 1800 (ค.ศ. 1257) ช่วงเวลาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ “ยุคโยนก” ซึ่งมีตำนานกล่าวถึงการอพยพของสิงหนวัติกุมารจากดินแดนทางตอนเหนือ (เชื่อว่าเป็นมณฑลยูนนานในปัจจุบัน) ลงมาสถาปนาอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ บริเวณลุ่มแม่น้ำสายและแม่น้ำโขง อาณาจักรนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ โยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสน และในที่สุดก็เหลือเพียงชื่อ เชียงแสน
ตำนานพื้นเมืองและพงศาวดารโยนกเป็นแหล่งข้อมูลหลักสำหรับประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของเชียงราย แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหมด แต่ก็สะท้อนถึงความทรงจำร่วมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่หยั่งรากลึกในดินแดนแห่งนี้ เรื่องเล่าการอพยพจากทางเหนือและการก่อตั้งอาณาจักรต่างๆ สอดคล้องกับรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและการสร้างรัฐของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การล่มสลายของอาณาจักรโยนก ซึ่งตำนานระบุว่าเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระองค์มหาไชยชนะ จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ภูมิภาคนี้ หลังจากการล่มสลายดังกล่าว ชาวเมืองได้ร่วมกันยกให้ขุนลัง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นเป็นผู้นำ และสร้างเมืองใหม่ชื่อ เวียงปรึกษา (หรือเวียงเปิ๊กษา) ริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นต้นแบบของระบอบประชาธิปไตยในยุคเริ่มแรก เนื่องจากผู้นำมาจากการประชุมปรึกษาหารือกัน เหตุการณ์นี้อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือช่วงเวลาที่อำนาจการปกครองไม่ได้รวมศูนย์ ก่อนที่จะมีการรวมตัวกันอีกครั้งภายใต้อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง
อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง หรือที่รู้จักในชื่อ เชียงลาว เชียงเรือง หรือหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ถือกำเนิดขึ้นและมีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา มีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ในราชวงศ์ลวจังกราช ศูนย์กลางอำนาจในระยะแรกสันนิษฐานว่าอยู่บริเวณใกล้ดอยตุงและแม่น้ำสาย เรียกว่าเชียงลาวหรือเชียงเรือน ก่อนจะขยายอิทธิพลมายังเมืองเงินยางริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งอาจเป็นบริเวณเดียวกับเมืองเชียงแสนในเวลาต่อมา ตำนานเงินยางเชียงแสนกล่าวถึง ปู่เจ้าลาวจก ว่าเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรเงินยาง และมีการจัดระเบียบการปกครองโดยใช้พื้นที่ทำนาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขต เช่น พันนา หมื่นนา แสนนา และล้านนา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระบบการจัดการที่ดินและทรัพยากรที่มีแบบแผน ราชวงศ์ลวจังกราชได้ขยายอาณาเขตและอิทธิพลด้วยการส่งพระโอรสไปสร้างและปกครองเมืองต่างๆ ก่อให้เกิดเครือข่ายของเมืองที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด และพญามังราย ผู้สถาปนาเมืองเชียงรายและอาณาจักรล้านนา ก็ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้
การที่ชุมชนและอาณาจักรยุคแรกเริ่มเหล่านี้มักตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม่น้ำเหล่านี้เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งในด้านเกษตรกรรม การคมนาคมขนส่ง และการค้าขาย การควบคุมทรัพยากรในลุ่มน้ำจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานแห่งอำนาจและความมั่งคั่งของรัฐโบราณเหล่านี้ ซึ่งส่งผลต่อการก่อกำเนิด การขยายตัว และปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในที่สุด
พญามังรายและการก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนา
พญามังรายมหาราชทรงเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์เชียงรายและอาณาจักรล้านนา พระองค์ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 1782 (ค.ศ. 1239) ในราชวงศ์ลวจังกราชแห่งอาณาจักรหิรัญนครเงินยางเชียงลาว เป็นพระราชโอรสของพญาลาวเม็งและพระนางเทพคำข่าย (หรือพระนางอั่วมิ่งจอมเมือง) ซึ่งเป็นพระราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย เจ้าผู้ครองนครเชียงรุ่งแห่งสิบสองปันนา เชื้อสายนี้ทำให้พระองค์มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจไทที่สำคัญในภูมิภาค พญามังรายเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาที่เมืองหิรัญนครเงินยางในปี พ.ศ. 1802 (ค.ศ. 1259) ขณะมีพระชนมายุราว 20 พรรษา พระองค์ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะรวบรวมหัวเมืองไทต่าง ๆ ทางตอนเหนือให้เป็นปึกแผ่นภายใต้อาณาจักรที่เข้มแข็ง โดยเริ่มจากการขยายอำนาจในดินแดนทางเหนือก่อน แล้วจึงขยายลงสู่ทางใต้
การสถาปนาเมืองเชียงรายในปี พ.ศ. 1805 (ค.ศ. 1262) ถือเป็นก้าวสำคัญในพระราชภารกิจนี้ ตามตำนานเล่าว่า พญามังรายทรงติดตามช้างมงคลของพระองค์ที่พลัดหลงไป จนกระทั่งถึงยอดดอยจอมทองริมฝั่งแม่น้ำกก ทรงทอดพระเนตรเห็นชัยภูมิอันเหมาะสม จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครขึ้น ณ ที่นั้น โดยให้สร้างปราการโอบล้อมดอยจอมทองไว้กลางเมือง และพระราชทานนามว่า “เมืองเชียงราย” จากนั้นจึงทรงย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองหิรัญนครเงินยางมาประทับที่เมืองเชียงรายในปีเดียวกัน การก่อตั้งเมืองเชียงรายไม่เพียงแต่เป็นการสร้างฐานอำนาจใหม่ แต่ยังเป็นการแสดงถึงพระปรีชาสามารถในการเลือกที่ตั้งเมืองที่มีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และเป็นสิริมงคล
หลังจากสถาปนาเมืองเชียงรายแล้ว พญามังรายยังคงดำเนินพระราชกรณียกิจในการรวบรวมบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง ทรงยกทัพไปปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อม เช่น เมืองมอบ เมืองไร่ และเมืองเชียงคำ แล้วทรงแต่งตั้งขุนนางไปปกครอง พระองค์ทรงใช้ทั้งพระปรีชาสามารถทางการทหารและยุทธศาสตร์ทางการทูต หนึ่งในความสำเร็จครั้งสำคัญคือการพิชิตอาณาจักรมอญหริภุญไชย (ลำพูน) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองในขณะนั้น ราวปี พ.ศ. 1824 (หรือ พ.ศ. 1835 ตามบางแหล่งข้อมูล) โดยทรงใช้อุบายส่งอ้ายฟ้าเข้าไปเป็นไส้ศึกเพื่อสร้างความแตกแยกภายใน ก่อนจะนำกองทัพเข้ายึดครอง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสร้างเมืองสำคัญอื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น เมืองฝาง (พ.ศ. 1816) เมืองชะแว (พ.ศ. 1826) และเวียงกุมกาม (พ.ศ. 1829) ซึ่งเวียงกุมกามได้กลายเป็นเมืองหลวงชั่วคราวก่อนที่จะมีการสร้างเมืองเชียงใหม่ การก่อตั้งเมืองเหล่านี้สะท้อนถึงการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างรัฐ โดยแต่ละเมืองมีบทบาทเฉพาะ เช่น เชียงรายเป็นฐานอำนาจทางตอนเหนือและจุดเริ่มต้นการขยายอาณาเขต เวียงกุมกามเป็นเมืองหลวงทดลอง และท้ายที่สุดคือเชียงใหม่ ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นเมืองหลวงถาวรของอาณาจักรที่กำลังเติบใหญ่ การเลือกที่ตั้งเมืองแต่ละแห่งมักคำนึงถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำ หรือชัยภูมิที่ป้องกันได้ง่ายอย่างดอยจอมทองของเชียงราย การปรึกษาหารือกับพระสหายกษัตริย์อย่างพญาคำแหงแห่งสุโขทัยในการเลือกชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่ ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งในด้านผังเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ระดับภูมิภาค พญามังรายจึงมิได้เป็นเพียงนักรบผู้พิชิต แต่ยังเป็นนักสร้างรัฐผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ซึ่งใช้การพัฒนาเมืองเป็นเครื่องมือในการควบคุมทางการเมือง การบูรณาการทางเศรษฐกิจ และการหลอมรวมทางวัฒนธรรม
ในปี พ.ศ. 1839 (ค.ศ. 1296) พญามังรายได้ทรงสถาปนา “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของอาณาจักรล้านนา โดยได้รับคำปรึกษาจากพระสหายคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย และพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา แม้ว่าเชียงใหม่จะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจแห่งใหม่ แต่เมืองเชียงรายก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองหน้าด่านทางตอนเหนือและเป็นเมืองที่ปกครองโดยพระราชโอรสหรือบุคคลสำคัญในราชวงศ์ เช่น พระราชโอรสองค์ที่สองคือ ขุนครามหรือพญาไชยสงคราม ซึ่งต่อมาได้สืบราชสมบัติต่อจากพญามังราย ก็เคยครองเมืองเชียงราย การปกครองเมืองสำคัญๆ เช่น เชียงราย โดยพระราชโอรสนี้ สะท้อนถึงระบบอำนาจแบบ “มณฑล” (Mandala) ที่มีศูนย์กลางอำนาจหลักคือเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น และศูนย์กลางรองที่ปกครองโดยเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางที่ภักดี ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่พบเห็นได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบนี้ช่วยในการขยายอำนาจและควบคุมดินแดน แต่ก็มีจุดอ่อนที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในหรือการแย่งชิงอำนาจได้ ดังเช่นกรณีการก่อกบฏของขุนเครื่อง พระราชโอรสองค์แรกที่ทรงแต่งตั้งให้ครองเมืองเชียงราย แต่ภายหลังคิดก่อกบฏจึงถูกลอบสังหาร พญามังรายทรงครองราชย์ในอาณาจักรล้านนาจนกระทั่งสวรรคตที่เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1854 (ค.ศ. 1311) ราชวงศ์มังรายที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นได้ปกครองอาณาจักรล้านนาสืบต่อมาเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ
ตารางที่ 2: เมืองสำคัญที่พญามังรายสถาปนาหรือพิชิต
ชื่อเมือง | ปีที่สถาปนา/พิชิต (พ.ศ.) | ความสำคัญ |
เมืองเชียงราย | 1805 | ฐานอำนาจหลักแห่งแรกทางตอนเหนือ, ศูนย์กลางการขยายอาณาเขต |
เมืองฝาง | 1816 | เมืองยุทธศาสตร์ |
อาณาจักรหริภุญไชย (ลำพูน) | 1824 (หรือ 1835) | ศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งถูกผนวกรวมเข้ากับล้านนา |
เมืองชะแว (สันนิษฐานว่าคือเมืองพร้าว) | 1826 | เมืองบริวาร |
เวียงกุมกาม | 1829 | เมืองหลวงชั่วคราวก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่ |
เมืองเชียงใหม่ (นพบุรีศรีนครพิงค์) | 1839 | เมืองหลวงถาวรและศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา |
เชียงรายในใจกลางอาณาจักรล้านนา
ภายหลังจากที่พญามังรายได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังเมืองเชียงใหม่แล้ว เมืองเชียงรายยังคงดำรงสถานะเป็นเมืองสำคัญในอาณาจักรล้านนา โดยทั่วไปมักถูกปกครองโดยพระราชโอรสของกษัตริย์ล้านนาหรือขุนนางชั้นสูง ทำหน้าที่เป็น “เมืองลูกหลวง” หรือเมืองอุปราช สถานะดังกล่าวไม่เพียงแต่รักษาความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเชียงรายในฐานะเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือ แต่ยังเป็นเสมือนพื้นที่ฝึกฝนการบริหารปกครองสำหรับเจ้านายล้านนาก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในราชสำนักเชียงใหม่ ตัวอย่างเช่น พญาไชยสงคราม พระราชโอรสของพญามังราย และกษัตริย์ล้านนาในยุคต่อมาอีกหลายพระองค์ เช่น พญาแสนพู พญาคำฟู และพญากือนา ก็เคยเสด็จมาครองเมืองเชียงแสน (ซึ่งเป็นเมืองสำคัญในเขตอิทธิพลของเชียงราย) ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ที่เมืองเชียงใหม่ สิ่งนี้ตอกย้ำถึงบทบาทของเชียงรายและพื้นที่โดยรอบในการเป็นฐานกำลังสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจของอาณาจักรล้านนา กฎหมายมังรายศาสตร์ ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากพญามังราย แม้ฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่พบจะลงปี พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) ก็ย่อมเป็นบรรทัดฐานในการปกครองและสร้างระเบียบทางสังคมในเชียงรายเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของอาณาจักร
ในด้านวัฒนธรรมและศาสนา เชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับพื้นที่เชียงแสน ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญ มีการสร้างและบูรณะวัดวาอารามจำนวนมากโดยการอุปถัมภ์ของราชวงศ์ล้านนาและขุนนาง ศาสนสถานหลายแห่งที่มีอยู่ก่อนยุคล้านนา เช่น วัดพระธาตุดอยตุง ได้รับการทำนุบำรุงและพัฒนาให้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ศิลปะและสถาปัตยกรรมในเชียงรายดำเนินรอยตามแบบแผนของล้านนา ซึ่งได้รับอิทธิพลผสมผสานจากสุโขทัย พม่า และศิลปะพื้นถิ่น การค้นพบพระพุทธรูปและซากโบราณสถานแบบล้านนาจำนวนมากเป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองทางศาสนาและศิลปะในยุคนี้ เมืองเชียงแสนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชียงราย เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่โดดเด่น มีวัดวาอารามมากมาย และปรากฏหลักฐานศิลาจารึกที่บันทึกเรื่องราวการสร้างวัดและการถวายที่ดินและสิ่งของแก่วัด
บทบาทของเชียงรายในฐานะ “เมืองลูกหลวง” นั้นมีความหมายมากกว่าเพียงแค่ตำแหน่งทางพิธีการ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ติดกับรัฐไทอื่นๆ และภูมิภาคทางตอนเหนือ เชียงรายจึงทำหน้าที่เป็นปราการสำคัญในการป้องกันอาณาจักรล้านนาจากภัยคุกคามภายนอก การปกครองเมืองเชียงรายยังเป็นการมอบประสบการณ์อันล้ำค่าทั้งในด้านการบริหารและการทหารให้แก่เจ้านายล้านนา ความสำคัญทางการเมืองของเชียงรายในอาณาจักรล้านนาจึงมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดทั้งกับคุณค่าทางยุทธศาสตร์และการเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสืบทอดอำนาจ นอกจากนี้ ภูมิภาคเชียงราย-เชียงแสนยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง การมีอยู่ของศาสนสถานโบราณที่ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง เช่น วัดพระธาตุดอยตุง และการพบวัดจำนวนมากในเชียงแสน ชี้ให้เห็นว่าดินแดนแถบนี้เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณมาอย่างยาวนาน อาจจะตั้งแต่ก่อนยุคพญามังรายด้วยซ้ำ ซึ่งกษัตริย์ล้านนาก็ได้ให้การอุปถัมภ์และเสริมสร้างความสำคัญของสถานที่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของภูมิภาคเชียงรายจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เสริมสร้างความสำคัญโดยรวม และเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองและเอกภาพทางวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนา
ยุคอิทธิพลพม่าและผลกระทบ (พ.ศ. 2101-2400)
ในปี พ.ศ. 2101 (ค.ศ. 1558) พระเจ้าบุเรงนองแห่งราชวงศ์ตองอูของพม่าได้ทรงยกทัพเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ อันเป็นผลให้อาณาจักรล้านนาทั้งหมด รวมถึงเมืองเชียงรายและเชียงแสน ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ทางพม่าได้แต่งตั้งขุนนางของตนมาปกครองเมืองเชียงรายและหัวเมืองล้านนาอื่นๆ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการปกครองโดยราชวงศ์ล้านนามาสู่การบริหารโดยอำนาจจากภายนอก แม้ว่าในทางปฏิบัติมักจะมีการดึงชนชั้นนำท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงสร้างการปกครองด้วยก็ตาม อาณาจักรล้านนา รวมทั้งเชียงราย อยู่ภายใต้การควบคุมของพม่าเป็นระยะเวลานานกว่า 200 ปี โดยมีบางช่วงที่มีการลุกขึ้นต่อต้านหรือได้รับอิสรภาพเป็นระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ ล้านนายังกลายเป็นดินแดนพิพาทระหว่างพม่าและอาณาจักรอยุธยา (ต่อมาคือสยาม)
ช่วงเวลาอันยาวนานภายใต้การปกครองของพม่าได้นำไปสู่การแลกเปลี่ยนและอิทธิพลทางวัฒนธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ปรากฏชัดในศิลปะ สถาปัตยกรรม รวมถึงภาษาและประเพณีบางอย่างของล้านนา ตัวอย่างเช่น มณฑปพระเจ้าล้านทองที่วัดพระธาตุลำปางหลวง แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมจากรูปแบบดั้งเดิมของล้านนาภายใต้อิทธิพลพม่า จิตรกรรมฝาผนังของล้านนาในยุคนี้ โดยเฉพาะในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19) แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะพม่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชาวพม่าอาศัยอยู่จำนวนมาก เช่น เชียงใหม่และลำปาง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับกลุ่มพ่อค้าไม้สักชาวพม่า แม้จะไม่มีตัวอย่างเฉพาะเจาะจงของเชียงรายในเอกสารเหล่านี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับอิทธิพลในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ อิทธิพลทางวัฒนธรรมยังปรากฏในด้านอาหาร เช่น “แกงฮังเลม่าน” (แกงฮังเลแบบพม่า) ซึ่งเป็นมรดกทางอาหารที่ได้รับโดยตรงจากยุคนี้ และมีความแตกต่างจากแกงฮังเลแบบท้องถิ่นของล้านนา เช่น “แกงฮังเลเชียงแสน”
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิระหว่างสยามและพม่า นำมาซึ่งความไม่มั่นคงและความยากลำบากแก่ประชาชนในท้องถิ่น สงครามที่ต่อเนื่องและความไม่มั่นคงทางการเมืองส่งผลให้เมืองเชียงรายและเชียงแสนประสบปัญหาการลดลงของจำนวนประชากรอย่างมาก เมืองเชียงแสนถึงกับกลายเป็นเมืองร้างหลังจากถูกกองทัพสยามและล้านนาตีแตกในปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) เมืองเชียงรายเองก็ตกอยู่ในสภาพเกือบร้างเช่นกัน ถึงกระนั้น ชุมชนและอัตลักษณ์ท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่ และเป็นรากฐานสำหรับการฟื้นตัวในยุคต่อมา
ยุคพม่าปกครองกว่า 200 ปี มักถูกมองว่าเป็น “ยุคมืด” ของล้านนาเนื่องจากการสูญเสียอิสรภาพและสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทว่า ช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่สำคัญเช่นกัน แม้ว่าอำนาจทางการเมืองของพม่าจะครอบงำ แต่วัฒนธรรมล้านนาก็มิได้ถูกลบล้างไปทั้งหมด หากแต่เกิดกระบวนการปฏิสัมพันธ์ การซึมซับ และการปรับใช้องค์ประกอบทางวัฒนธรรมพม่าอย่างซับซ้อน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อมีการปกครองที่ยาวนานและการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวพม่า หลักฐานที่ชัดเจนคือการรับเอารูปแบบสถาปัตยกรรมพม่ามาใช้ในวัดวาอาราม และอิทธิพลทางด้านอาหาร แสดงให้เห็นว่ายุคพม่า แม้จะเต็มไปด้วยความท้าทายทางการเมือง ก็ได้มีส่วนสร้างเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานของล้านนา รวมถึงเชียงรายในปัจจุบัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงการกดขี่ แต่เป็นการปฏิสัมพันธ์และอิทธิพลซึ่งกันและกัน แม้จะไม่สมดุลก็ตาม
การลดลงของประชากรในเชียงรายและเชียงแสนในช่วงเวลานี้ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบโดยบังเอิญจากสงคราม แต่บ่อยครั้งเป็นยุทธศาสตร์โดยเจตนาของมหาอำนาจในภูมิภาคเพื่อลดทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามและสร้างเขตกันชน การที่สยามต้อง “ฟื้นฟู” เมืองเหล่านี้ขึ้นใหม่ในภายหลัง สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของพื้นที่เหล่านี้ที่ยังคงอยู่ และความสำคัญของการควบคุมจำนวนประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคก่อนสมัยใหม่ การที่เมืองเชียงรายและเชียงแสนกลายเป็นเมือง “ร้าง” เป็นผลโดยตรงจากสภาวะสงคราม การฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่โดยเจ้าหลวงเชียงใหม่ภายใต้พระบรมราชานุญาตจากสยามในปี พ.ศ. 2386 แสดงถึงความพยายามอย่างมีเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนประชากรและยืนยันอำนาจควบคุม การโยกย้ายผู้คนและการทำให้พื้นที่ร้างผู้คนเป็นยุทธวิธีที่ใช้กันทั่วไปในสงครามยุคนั้นเพื่อทำลายฐานทรัพยากรและกำลังคนของศัตรู การเปลี่ยนแปลงทางประชากรในเชียงรายจึงมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ของอำนาจต่างๆ “ความว่างเปล่า” ของดินแดนได้เปิดโอกาสให้สยามเข้ามาจัดระเบียบชายแดนทางเหนือของตนใหม่
การฟื้นฟูและการรวมเข้ากับสยาม (ต้นยุครัตนโกสินทร์ – พ.ศ. 2475)
หลังจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและการถูกทิ้งร้างอันเนื่องมาจากความขัดแย้งที่ยาวนานระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ดำเนินการฟื้นฟูและรวบรวมผู้คนกลับมาตั้งถิ่นฐาน การฟื้นฟูครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสยามเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและอิทธิพลในดินแดนล้านนา ศูนย์กลางของเมืองเชียงรายที่ฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้ย้ายจากที่ตั้งเดิมบนดอยจอมทองมายังบริเวณใจกลางเมืองในปัจจุบัน และในช่วงเวลานี้เองที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประชากรท้องถิ่น
ในระยะแรกของการฟื้นฟู เชียงรายอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าหลวงท้องถิ่น ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหลวงเชียงใหม่ ผู้ซึ่งเป็นประเทศราชของสยามอีกทอดหนึ่ง เชื้อสายของราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนมีบทบาทในการปกครองเชียงรายเป็นเวลานานประมาณ 60 ปี (พ.ศ. 2386-2446) เจ้าหลวงองค์สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386–2407) เจ้าหลวงอุ่นเรือน (พ.ศ. 2407–2419) และเจ้าหลวงสุริยะ (พ.ศ. 2419–2433)
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สยามได้ริเริ่มการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ที่เรียกว่าระบบเทศาภิบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและผนวกดินแดนส่วนภูมิภาค เช่น ล้านนา เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2437 พระศรีสหเทพ (เส็ง วิริยสิริ) ได้รับมอบหมายจากรัชกาลที่ 5 ให้ดำเนินการจัดระเบียบการปกครองมณฑลพายัพขึ้นใหม่ และเชียงรายก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยการปกครองนี้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2453 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเมืองเชียงรายขึ้นเป็น “เมืองจัตวา” ในมณฑลพายัพ โดยมีการจัดระบบการบริหารราชการให้เหมือนกับหัวเมืองชั้นในที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร เหตุการณ์นี้ถือเป็นการสถาปนาจังหวัดเชียงรายอย่างเป็นทางการ ตราประจำเมืองในยุคนั้นเป็นรูปหนุมาน (หอระมาน) และในระยะแรกจังหวัดเชียงรายแบ่งการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ การเปลี่ยนผ่านจากเจ้าหลวงท้องถิ่นมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่แต่งตั้งจากส่วนกลางเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้ พระยารัตนเขตต์เป็นผู้ว่าราชการในช่วงประมาณ พ.ศ. 2433–2442 และพระยารามราชเดชดำรง (ผล ศรุตานนท์) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2460–2479 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการวางรากฐานการบริหารจังหวัด
กระบวนการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของสยามไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นเสมอไป และบางครั้งก็เผชิญกับการต่อต้านหรือไม่พอใจจากท้องถิ่นในล้านนา แม้ว่า “กบฏเงี้ยว” ในปี พ.ศ. 2445 จะเกิดขึ้นหลักๆ ที่เมืองแพร่และลำปาง แต่ก็สะท้อนถึงความตึงเครียดในวงกว้างอันเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครองของสยาม การสูญเสียอำนาจของเจ้านายท้องถิ่น และความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ (เช่น เรื่องสัมปทานป่าไม้และการเก็บภาษี) สำหรับเชียงราย มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อต้านในปี พ.ศ. 2448 ซึ่งประจวบเหมาะกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองเชียงรายในปีเดียวกัน ชาวบ้านบางส่วนเชื่อว่าเป็นผลมาจาก “ขึดบ้านขึดเมือง” หรือการกระทำที่ไม่เป็นมงคลต่อบ้านเมือง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมืองแบบสมัยใหม่ เช่น การรื้อกำแพงเมืองและการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำโดยมิชชันนารีชาวตะวันตกอย่างนายแพทย์วิลเลียม เอ. บริกส์ ผู้มีบทบาทในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ ในเชียงราย นอกจากนี้ การประกาศใช้พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ก็สร้างความไม่พอใจและการหลีกเลี่ยงในหมู่ราษฎรบางส่วน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังคนและสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อภาระหน้าที่ใหม่ที่รัฐกำหนด
ความพยายามของสยามในการรวมล้านนา รวมถึงเชียงราย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสมัยใหม่นั้น ได้รับแรงผลักดันสำคัญจากแรงกดดันของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก การที่อังกฤษผนวกพม่าตอนบนและฝรั่งเศสขยายอิทธิพลในอินโดจีน สร้างความจำเป็นเร่งด่วนให้สยามต้องกำหนดเขตแดนให้ชัดเจนและยืนยันอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนส่วนภูมิภาค เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมหาอำนาจตะวันตกกลืนกิน การปฏิรูปการปกครองระบบเทศาภิบาลจึงเป็นวิธีการโดยตรงในการเสริมสร้างการควบคุมจากส่วนกลางเหนือดินแดนที่เคยมีสถานะกึ่งอิสระ การเปลี่ยนแปลงสถานะของเชียงรายจากเมืองประเทศราชมาเป็นจังหวัดจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่กว่า เพื่อความอยู่รอดและความทันสมัยของรัฐสยาม การต่อต้านจากท้องถิ่น สามารถมองได้ว่าเป็นปฏิกิริยาต่อการรวมศูนย์อำนาจอย่างรวดเร็วที่ขับเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจและวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจสังคมแบบดั้งเดิม
การนำความทันสมัยเข้ามาในพื้นที่ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การบริหารราชการ และบทบาทของชาวตะวันตกอย่างมิชชันนารี เช่น นายแพทย์บริกส์ ที่มีส่วนในการวางผังเมืองและก่อสร้าง ได้นำมาซึ่งการพัฒนา แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและความไม่พอใจในหมู่คนท้องถิ่น การรื้อถอนองค์ประกอบของเมืองแบบดั้งเดิม เช่น กำแพงเมือง เพื่อสร้างถนนหนทางใหม่ แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อความทันสมัยและสุขอนามัย เช่น การป้องกันอหิวาตกโรค ก็ถูกมองจากคนบางกลุ่มว่าเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์และเป็นลางร้ายต่อบ้านเมือง (“ขึดบ้านขึดเมือง”) สิ่งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดที่มักเกิดขึ้นในบริบทของการล่าอาณานิคมหรือการพัฒนาที่คล้ายคลึงกัน คือ การแทรกแซงเพื่อ “ความทันสมัย” แม้จะมีเจตนาดีจากมุมมองของผู้ดำเนินการ ก็อาจขัดแย้งอย่างรุนแรงกับความเชื่อ ประเพณี และโครงสร้างอำนาจท้องถิ่น นำไปสู่การต่อต้านหรือความไม่พอใจแบบเงียบๆ ความเชื่อเรื่อง “ขึด” สะท้อนโลกทัศน์ที่สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตวิญญาณเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ซึ่งเป็นมุมมองที่ถูกท้าทายโดยแนวคิดการพัฒนาแบบเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
เชียงรายในประเทศไทยสมัยใหม่ (พ.ศ. 2475 / ปัจจุบัน)
วิวัฒนาการทางการเมืองและการบริหาร
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จังหวัดเชียงรายยังคงอยู่ภายใต้ระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่ได้วางรากฐานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารสูงสุดในพื้นที่ และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นและประสานงานกับส่วนกลาง
ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำท้องถิ่นคนสำคัญ
- พระยารามราชเดชดำรง (ผล ศรุตานนท์) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2460-2479 37 ช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของท่านครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย และการพัฒนาจังหวัดในระยะเริ่มแรก นอกเหนือจากภารกิจด้านการบริหารทั่วไป 42 ท่านยังมีบทบาทในการดูแลจังหวัดในช่วงที่มีการจัดตั้งเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ 5
- นายชูสง่า ฤทธิประศาสน์ (ไชยพันธุ์) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2504-2512 37 เป็นบุคคลสำคัญที่ต่อมาได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 43 ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ น่าจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและชนบทที่สำคัญหลายประการ 44
- ผู้ว่าราชการจังหวัดท่านอื่น ๆ ที่มีรายนามในเอกสาร 37 ต่างก็มีส่วนในการบริหารและพัฒนาจังหวัดเชียงรายในสมัยของตน
การเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองที่สำคัญ
จังหวัดเชียงรายมีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองหลายครั้งในยุคสมัยใหม่ ได้แก่
- พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925): โอนอำเภอเมืองฝางไปขึ้นกับจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากความยากลำบากในการเดินทางติดต่อราชการ
- พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936): โอนพื้นที่บางส่วนของตำบลป่าตึง (อำเภอเชียงแสนในขณะนั้น ปัจจุบันคืออำเภอแม่จัน) ไปขึ้นกับอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
- พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952): โอนอำเภอปง (ยกเว้นตำบลสวด) จากจังหวัดน่านมาขึ้นกับจังหวัดเชียงราย และโอนตำบลสะเอียบของอำเภอปงไปขึ้นกับอำเภอสอง จังหวัดแพร่
- พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977): แยกพื้นที่ทางตอนใต้ของจังหวัดเชียงราย (อำเภอพะเยา, จุน, เชียงคำ, เชียงม่วน, ดอกคำใต้, ปง, แม่ใจ) ออกไปจัดตั้งเป็นจังหวัดพะเยา ปัจจุบัน จังหวัดเชียงรายประกอบด้วย 18 อำเภอ 124 ตำบล และ 1,753 หมู่บ้าน
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
จากเกษตรกรรมดั้งเดิมสู่เศรษฐกิจที่หลากหลาย
เกษตรกรรมยังคงเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจเชียงราย โดยมีพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ชา กาแฟ ลิ้นจี่ สับปะรด และยางพารา 6 ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย จังหวัดเชียงรายจึงมีการค้าชายแดนที่คึกคักกับประเทศพม่าและลาว และมีศักยภาพในการเชื่อมโยงไปยังจีนตอนใต้ 10 โดยมีอำเภอแม่สายและเชียงแสนเป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวที่สำคัญ 11
การค้าไม้สักและกิจการป่าไม้ ความรุ่งเรืองและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ในอดีต พื้นที่ภาคเหนือของไทยรวมถึงบริเวณรอบ ๆ จังหวัดเชียงรายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้สัก ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 24 บริษัทจากยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ เช่น บริษัทบอมเบย์เบอร์มา, บริษัทบอร์เนียว ได้รับสัมปทานในการทำไม้สัก โดยในระยะแรกเป็นการขอสัมปทานจากเจ้าผู้ครองนครท้องถิ่น ก่อนที่รัฐบาลสยามจะเข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น อุตสาหกรรมไม้สักสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แต่ก็นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่าอย่างกว้างขวางและส่งผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะการจำกัดสิทธิของชุมชนท้องถิ่นในการเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้ รัฐบาลได้พยายามควบคุมการทำไม้และส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน เช่น การจัดตั้งกรมป่าไม้ในปี พ.ศ. 2439 และการเริ่มปลูกสร้างสวนป่าสักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 แต่ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ต่อมา องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการทรัพยากรป่าไม้
การพัฒนาการค้า การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจชายแดน
เส้นทางการค้าโบราณได้พาดผ่านภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน โดยมีการค้าขายสินค้าป่า และในยุคหลังรวมถึงสินค้าผิดกฎหมาย เช่น ฝิ่น ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ในยุคปัจจุบันเชียงรายได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วยความงดงามทางธรรมชาติ มรดกทางวัฒนธรรมล้านนาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย รวมถึงโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจชายแดนมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและจุดผ่านแดนทางการค้า เช่น ที่แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนนและท่าอากาศยาน
- ถนน: การก่อสร้างถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) เป็นการพัฒนาครั้งสำคัญที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับจังหวัดเชียงรายและชายแดนทางเหนือที่อำเภอแม่สาย การก่อสร้างถนนสายนี้ดำเนินการเป็นช่วง ๆ เป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยมีการปรับปรุงจากถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ เส้นทางช่วงลำปาง-เชียงราย ได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของถนนพหลโยธินในภายหลัง
- ท่าอากาศยาน
- ท่าอากาศยานเชียงราย (เก่า) (ฐานบินเชียงราย): เคยใช้งานในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาได้ปรับเป็นสนามบินพาณิชย์ ก่อนที่การบินพาณิชย์จะย้ายไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนและกิจกรรมบางอย่างของกองทัพอากาศ รวมถึงภารกิจด้านมนุษยธรรม มีการก่อตั้งราวปี พ.ศ. 2469
- ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI): เดิมชื่อท่าอากาศยานเชียงราย ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ในปี พ.ศ. 2553 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เข้าบริหารงานต่อจากกรมการบินพาณิชย์เมื่อวันที่ ตุลาคม พ.ศ. 2541 ท่าอากาศยานแห่งนี้ได้รับการพัฒนาและขยายขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีแผนพัฒนาระยะยาวเพื่อรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 8 ล้านคนต่อปีภายในปี พ.ศ. 2578
โครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
- โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ริเริ่มโดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในปี พ.ศ. 2530 โครงการนี้ได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ดอยตุงอย่างพลิกฟื้น โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจน การสร้างอาชีพที่ยั่งยืน เช่น การปลูกกาแฟ แมคคาเดเมีย และการผลิตสินค้าหัตถกรรมภายใต้แบรนด์ “ดอยตุง” การฟื้นฟูสภาพป่า และการขจัดปัญหาการปลูกฝิ่น
- โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอื่น ๆ อีกจำนวนมากในจังหวัดเชียงรายมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรน้ำ (อ่างเก็บน้ำ ฝาย) การอนุรักษ์ดิน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การพัฒนาสมัยใหม่ของเชียงราย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน ท่าอากาศยาน) และการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในพื้นที่สูง ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ ความมั่นคงชายแดน การต่อต้านคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น การปราบปรามยาเสพติด และการดำเนินงานเชิงรุกของสถาบันพระมหากษัตริย์ (โดยเฉพาะโครงการพัฒนาดอยตุงของสมเด็จย่า) การมีอยู่ของกองกำลังจีนคณะชาติ (ก๊กมินตั๋ง) และบทบาทของพวกเขาในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ นำไปสู่ความสนใจของรัฐบาลและการริเริ่มโครงการพัฒนาเพื่อบูรณาการพื้นที่ชายแดนห่างไกล โครงการพัฒนาดอยตุง เป็นการตอบสนองโดยตรงต่อปัญหาความยากจน การทำลายป่า และการปลูกฝิ่น ซึ่งล้วนมีนัยยะต่อความมั่นคงของชาติ โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและท่าอากาศยาน ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเพิ่มการเข้าถึงและการควบคุมของรัฐในพื้นที่ชายแดนที่มีความอ่อนไหวทางยุทธศาสตร์ วิถีการพัฒนาสมัยใหม่ของเชียงรายจึงเป็นผลลัพธ์อันซับซ้อนของความจำเป็นด้านความมั่นคงของชาติ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและบูรณาการประชากรชายขอบ และแนวโน้มทางเศรษฐกิจในวงกว้าง เช่น การท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
แม้ว่าเกษตรกรรมยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเชียงราย แต่ลักษณะของภาคเกษตรได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป จากการทำเกษตรเพื่อยังชีพและการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม รวมถึงพืชผิดกฎหมายอย่างฝิ่นในบางพื้นที่ ไปสู่การผลิตที่หลากหลายและมุ่งเน้นตลาดมากขึ้น รวมถึงพืชเศรษฐกิจพิเศษ เช่น ชาและกาแฟ ซึ่งมักได้รับการส่งเสริมจากโครงการพัฒนาและโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ภาคเกษตรกรรมของเชียงรายจึงมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก รวมถึงนโยบายของรัฐ ความต้องการของตลาด และข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางการทำเกษตรที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นสำหรับหลายชุมชน
พหุวัฒนธรรมแห่งชาติพันธุ์มรดกที่ยั่งยืน
จังหวัดเชียงรายมีความโดดเด่นด้านความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อันเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การอพยพ การค้าขาย และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาอย่างยาวนาน กลุ่มชาติพันธุ์หลักๆ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย ได้แก่
- กลุ่มไท
- ไทยวน (คนเมือง): เป็นประชากรดั้งเดิมของล้านนา และเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของจังหวัด
- ไทลื้อ: อพยพมาจากสิบสองปันนา (มณฑลยูนนาน) หลายระลอก ทั้งในยุคต้นของล้านนาและยุคหลัง มีชื่อเสียงด้านการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งถิ่นฐานในหลายอำเภอของเชียงราย และยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนไทลื้อในจีน ลาว และพม่า
- กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง
- อาข่า: อพยพมาจากยูนนานผ่านพม่า เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูงเมื่อประมาณ 120 ปีก่อน มีเครื่องประดับศีรษะที่โดดเด่น นับถือผี และมีกฎเกณฑ์ของชุมชนที่เรียกว่า “อาข่า อ่าเฌ้อ”
- เมี่ยน (เย้า): มีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของจีน อพยพลงใต้ผ่านลาวและเวียดนามเข้ามาในภาคเหนือของไทยเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะลัทธิเต๋าผสมผสานกับการนับถือผี มีชื่อเสียงด้านงานปักผ้าและเครื่องเงิน ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูงของเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ในอดีตประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอย
- ม้ง: อพยพมาจากจีนเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ผ่านลาว เวียดนาม และพม่าเข้ามาในภาคเหนือของไทย เดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนที่สูง ในอดีตมีการปลูกฝิ่น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ชา กาแฟ
- กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งในภูมิภาค มีหลายกลุ่มย่อย บางส่วนถูกกวาดต้อนเข้ามาในไทยในช่วงสงครามสมัยอยุธยา มีความรู้ในการทำไร่หมุนเวียน การทอผ้า และการใช้ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ พบในหลายอำเภอของเชียงราย
- ลาหู่ (มูเซอ): อพยพมาจากที่ราบสูงทิเบตผ่านยูนนานและพม่า เข้ามาในไทยราวปี พ.ศ. 2418 เนื่องจากความขัดแย้ง มีความเชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ มีกลุ่มย่อยต่าง ๆ เช่น ลาหู่นะ/มูเซอดำ, ลาหู่ฌี/มูเซอเหลือง ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูง
- ลีซู (ลีซอ): อพยพมาจากทิเบตตะวันออก/ยูนนาน มีเครื่องแต่งกายสีสันสดใสและนับถือผี ประวัติการอพยพมักไม่ค่อยมีบันทึกเนื่องจากมีการโยกย้ายบ่อยครั้ง
- ลัวะ (ละว้า): ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งในภูมิภาคนี้ อาจจะตั้งถิ่นฐานมาก่อนการอพยพเข้ามาของกลุ่มไท มีความเชื่อและเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ กลุ่มชาติพันธุ์บีซู ซึ่งบางครั้งถูกจัดรวมกับลัวะ ก็มีการตั้งถิ่นฐานในเชียงรายเช่นกัน
- จีนฮ่อ และทายาทกองกำลังจีนคณะชาติ (ก๊กมินตั๋ง)
- คำว่า “ฮ่อ” เดิมหมายถึงพ่อค้ากองคาราวานจากมณฑลยูนนาน
- การอพยพครั้งสำคัญคือกลุ่มทหารจีนคณะชาติ (ก๊กมินตั๋ง) กองพล 93 ที่ถอยร่นเข้ามาในพม่าและต่อมาในภาคเหนือของไทย ราวปี พ.ศ. 2492 หรือ ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา หลังพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองในจีน
- พวกเขาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูง เช่น ดอยแม่สลอง ปัจจุบันคือบ้านสันติคีรี อำเภอแม่ฟ้าหลวง และพื้นที่อื่นๆ ในระยะแรกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าฝิ่นและเป็นกองกำลังช่วยรัฐบาลไทยต่อต้านคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้เปลี่ยนมาปลูกชา กาแฟ และผลไม้ ได้รับสัญชาติไทย และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยว
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์อันน่าทึ่งของเชียงราย แม้จะเสริมสร้างความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม แต่ในอดีตก็ได้นำมาซึ่งความท้าทายในด้านสัญชาติ สิทธิในที่ดิน การแข่งขันด้านทรัพยากร และการบูรณาการเข้ากับสังคมกระแสหลักของชาติ อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายนี้ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก ได้สร้างภูมิทัศน์การตั้งถิ่นฐานที่ซับซ้อน ปัญหาเช่นการปลูกฝิ่น ในอดีตโดยกลุ่มม้งและจีนฮ่อบางส่วน และการไร้สัญชาติเคยเป็นความท้าทายที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่เช่นดอยแม่สลอง และการส่งเสริมวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการท่องเที่ยว แสดงให้เห็นว่าความหลากหลายนี้สามารถถูกนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงบวกได้ สิ่งนี้บ่งบอกถึงกระบวนการเจรจาต่อรองและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องระหว่างรัฐและชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ การเปลี่ยนมุมมองจากที่เคยมองกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงผ่านเลนส์ความมั่นคงเป็นหลัก มาสู่การยอมรับในคุณูปการทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของพวกเขา สะท้อนถึงวิวัฒนาการในแนวทางของประเทศไทยต่อชนกลุ่มน้อย
ตารางกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญในจังหวัดเชียงราย
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ | ช่วงเวลาการอพยพ/ตั้งถิ่นฐานโดยประมาณ | พื้นที่ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิม (อำเภอ ถ้าทราบ) | กิจกรรมทางเศรษฐกิจ/ลักษณะทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (ดั้งเดิม) |
ไทยวน (คนเมือง) | กลุ่มดั้งเดิม | ทั่วทั้งจังหวัด | เกษตรกรรม (ทำนา), วัฒนธรรมล้านนา |
ไทลื้อ | ยุคต้นล้านนา และระลอกต่อมา | เชียงของ, เชียงแสน, เวียงแก่น, เทิง ฯลฯ | เกษตรกรรม, การทอผ้าที่มีเอกลักษณ์ |
อาข่า | ประมาณ 120 ปีก่อน | พื้นที่สูงในอำเภอแม่ฟ้าหลวง, แม่สาย, เมือง ฯลฯ | เกษตรกรรมบนที่สูง, การล่าสัตว์, ประเพณีความเชื่อเรื่องผีและบรรพบุรุษ, เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับศีรษะอันเป็นเอกลักษณ์ |
เมี่ยน (เย้า) | ประมาณ 200 ปีก่อน | พื้นที่สูงในอำเภอเมือง, แม่จัน, เวียงแก่น ฯลฯ | ทำไร่เลื่อนลอย, งานปักผ้าและเครื่องเงิน, ความเชื่อแบบเต๋าผสมผสานกับผี |
ม้ง | ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา | พื้นที่สูงในหลายอำเภอ | เกษตรกรรมบนที่สูง (เดิมปลูกฝิ่น ปัจจุบันพืชเศรษฐกิจ), งานฝีมือผ้าปักม้ง |
กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) | ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 22 (ศตวรรษที่ 17) และต่อมา | อำเภอเมือง (บ้านรวมมิตร), แม่สรวย, เวียงป่าเป้า ฯลฯ | ทำไร่หมุนเวียน, ทำนา, ทอผ้า, การใช้ชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ |
ลาหู่ (มูเซอ) | ราว พ.ศ. 2418 | พื้นที่สูงในอำเภอแม่สาย, แม่จัน ฯลฯ | เกษตรกรรม, การล่าสัตว์, มีกลุ่มย่อยหลากหลาย (เช่น มูเซอดำ มูเซอแดง) |
ลีซู (ลีซอ) | ไม่ชัดเจน, มีการโยกย้ายบ่อยครั้ง | พื้นที่สูงในอำเภอแม่จัน, เมือง ฯลฯ | เกษตรกรรม, เครื่องแต่งกายสีสันสดใส, ความเชื่อเรื่องผี |
ลัวะ (ละว้า) | กลุ่มดั้งเดิมก่อนไท | พื้นที่สูงในอำเภอเมือง (ต.บัวสลี, ต.แม่กรณ์) | เกษตรกรรม, มีความเชื่อและเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ |
จีนฮ่อ/ทายาทจีนคณะชาติ | ราว พ.ศ. 2492 เป็นต้นมา | ดอยแม่สลอง (อ.แม่ฟ้าหลวง), และพื้นที่อื่น ๆ | เดิมเกี่ยวข้องกับการค้าฝิ่นและเป็นกองกำลังกึ่งทหาร ปัจจุบันปลูกชา กาแฟ ผลไม้ และประกอบธุรกิจท่องเที่ยว |
ตารางโครงการพัฒนาและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในจังหวัดเชียงรายยุคใหม่
ชื่อโครงการ/โครงสร้างพื้นฐาน | ช่วงเวลาการพัฒนา/ก่อตั้งสำคัญ | ผลกระทบสำคัญ (เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม) |
ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) ช่วงเชียงราย | ก่อสร้างและปรับปรุงเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2483 จนถึงการขยายเป็น 4-8 ช่องจราจรในปัจจุบัน | เชื่อมโยงเชียงรายกับส่วนกลางและประเทศเพื่อนบ้าน, ส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยว และการขนส่ง, อำนวยความสะดวกในการเดินทาง |
ท่าอากาศยานเชียงราย (เก่า) (ฐานบินเชียงราย) | ก่อตั้งราว พ.ศ. 2469 | เดิมใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นสนามบินพาณิชย์ ปัจจุบันใช้เพื่อกิจกรรมสาธารณะและภารกิจกองทัพอากาศ |
ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) | ทอท. เข้าบริหาร พ.ศ. 2541, พระราชทานชื่อ พ.ศ. 2553 | เป็นประตูสู่ภาคเหนือตอนบน, รองรับนักท่องเที่ยวและเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศ, ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว, มีแผนขยายต่อเนื่อง |
โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ | เริ่มดำเนินการ พ.ศ. 2530 | แก้ไขปัญหาความยากจน ยาเสพติด และสิ่งแวดล้อม, สร้างอาชีพที่ยั่งยืน (กาแฟ, แมคคาเดเมีย, หัตถกรรม), ฟื้นฟูป่าไม้, พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ดอยตุง |
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอื่น ๆ | ดำเนินการต่อเนื่องหลายโครงการ | พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค, อนุรักษ์ดินและน้ำ, ส่งเสริมอาชีพและความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ต่างๆ |
การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน (แม่สาย, เชียงแสน, เชียงของ) | พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการเปิดใช้เส้นทาง R3A/R3B | ส่งเสริมการค้าชายแดนกับพม่า ลาว และจีนตอนใต้, เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ, สร้างงาน, แต่ก็อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมหากไม่มีการจัดการที่ดี |
การส่งเสริมการท่องเที่ยว | พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา | สร้างรายได้หลักให้จังหวัด, ส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและโบราณสถาน, สร้างงานบริการ, แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน |
แหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญ
จังหวัดเชียงรายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งโบราณสถานและมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ สถานที่สำคัญเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในปัจจุบัน
เมืองโบราณเชียงแสนหน้าต่างสู่ล้านนายุคแรกเริ่ม
เมืองเชียงแสนเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญ ทั้งในฐานะเมืองหลวงของอาณาจักรหิรัญนครเงินยาง และเป็นเมืองหลักในอาณาจักรล้านนา 4 เชื่อกันว่าพญาแสนภูทรงสถาปนา หรือบูรณะครั้งใหญ่ เมืองเชียงแสนขึ้นในปี พ.ศ. 1871 เพื่อควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือของล้านนาและป้องกันภัยจากภายนอก เมืองโบราณแห่งนี้มีลักษณะทางผังเมืองที่น่าสนใจ คือมีกำแพงเมืองและคูน้ำล้อมรอบ ปรากฏซากวัดวาอารามมากกว่า 100 ถึง 140 แห่ง ทั้งภายในและภายนอกกำแพงเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาและศิลปะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-24
- วัดเจดีย์หลวง (เชียงแสน): เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน สร้างโดยพญาแสนภูราวปี พ.ศ. 1836 หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย องค์เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมแบบล้านนาขนาดใหญ่ ขนาดและความยิ่งใหญ่ของวัดสะท้อนถึงการอุปถัมภ์จากราชสำนักและความสำคัญของวัดในฐานะศูนย์กลางทางศาสนา
- วัดสำคัญอื่น ๆ ในเชียงแสนที่ปรากฏในเอกสาร ได้แก่ วัดป่าสัก โดดเด่นด้วยเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลศิลปะสุโขทัย, วัดพระบาท, วัดมุงเมือง, วัดมหาธาตุ, วัดอาทิต้นแก้ว, วัดพระบวช, วัดพระธาตุสองพี่น้อง, และวัดพระธาตุจอมกิตติ เป็นต้น
วัดพระธาตุดอยตุง ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ พระธาตุคู่บ้านคู่เมือง
วัดพระธาตุดอยตุงเป็นหนึ่งในปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในภาคเหนือ เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตำนานกล่าวว่าการสร้างพระธาตุครั้งแรกย้อนไปถึงสมัยพระเจ้าอชุตราชแห่งอาณาจักรโยนกในพุทธศตวรรษที่ 7 ลักษณะเด่นของวัดคือพระธาตุเจดีย์คู่สีทองแบบล้านนา ซึ่งผ่านการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้ง ครั้งสำคัญคือการบูรณะโดยครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา และการบูรณะโดยกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. 2516 ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะเพื่อให้พระสถูปเจดีย์กลับคืนสู่รูปแบบใกล้เคียงกับสมัยที่ครูบาศรีวิชัยได้บูรณะไว้ 88 คำว่า “ตุง” (ธงหรือธงชัย) เป็นสัญลักษณ์สำคัญของชาวล้านนา หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองและชัยชนะ และมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับตำนานการสร้างพระธาตุดอยตุง
วัดพระแก้วเชียงราย อดีตที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
วัดพระแก้ว เดิมชื่อวัดป่าญะ (วัดป่าเยี้ยะ หมายถึงวัดป่าไผ่) มีชื่อเสียงในฐานะเป็นสถานที่ค้นพบพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ในปี พ.ศ. 1977 เมื่อเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าลงที่องค์พระเจดีย์ ทำให้พอกปูนที่หุ้มองค์พระพุทธรูปกะเทาะออก เผยให้เห็นองค์พระแก้วมรกตที่อยู่ภายใน 6 แม้ว่าปัจจุบันพระแก้วมรกตองค์จริงจะประดิษฐานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่วัดพระแก้วเชียงรายยังคงเป็นวัดสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นที่เคารพสักการะ ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปหยกเชียงราย (พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล) ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ด้วยหยกจากประเทศแคนาดา และยังมีพิพิธภัณฑ์โฮงหลวงแสงแก้ว ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุแบบล้านนา
วัดงำเมือง (เชียงราย) สถูปบรรจุอัฐิพญามังราย
วัดงำเมือง หรือวัดดอยงำเมือง เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของ “กู่” หรือสถูปที่บรรจุพระอัฐิของพญามังรายมหาราช ผู้สถาปนาเมืองเชียงรายและอาณาจักรล้านนา 8 ตัววัดเป็นวัดโบราณ แม้ประวัติการสร้างที่แน่ชัดจะไม่ปรากฏ แต่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัดผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเป็นที่ระลึกถึงพญามังราย แม้จะมีคำกล่าวอ้างว่าพญาไชยสงครามเป็นผู้สร้างวัดนี้เพื่อบรรจุอัฐิพระราชบิดา แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้นที่สนับสนุนอย่างชัดเจน
แหล่งโบราณคดีและวัดสำคัญอื่นๆ
ศูนย์วัฒนธรรมนิทัศน์และพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงราย ๗๕๐ ปี ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมและจัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของจังหวัด โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็นโซนต่าง ๆ ครอบคลุมตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยปัจจุบัน 30 นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ เช่น วัดพระสิงห์ (เชียงราย) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งหนึ่ง, ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเดิม, และซากวัดร้างจำนวนมากในเมืองเชียงแสน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยของจังหวัด 86
โบราณสถานสำคัญหลายแห่งในเชียงรายแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่ทับซ้อนกัน มีร่องรอยของยุคก่อนล้านนา การพัฒนาในสมัยล้านนา อิทธิพลจากพม่าในช่วงที่ปกครอง และการบูรณะในสมัยรัตนโกสินทร์ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปะมักเป็นการผสมผสานที่สะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายตลอดหลายศตวรรษ ตำนานของวัดพระธาตุดอยตุงครอบคลุมตั้งแต่ยุคปรัมปรา การอุปถัมภ์จากกษัตริย์ล้านนาหลายพระองค์ จนถึงการบูรณะในยุคใหม่ วัดต่างๆ ในเชียงแสนแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานรูปแบบศิลปะล้านนา สุโขทัย และอาจรวมถึงพม่าในการออกแบบเจดีย์และโบราณวัตถุ การค้นพบพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้ว เชื่อมโยงเชียงรายเข้ากับพุทธศิลปวัตถุที่มีความสำคัญระดับภูมิภาค ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียง สถานที่เหล่านี้จึงมิได้เป็นเพียงอนุสรณ์สถานที่หยุดนิ่ง แต่เป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตชีวาซึ่งถูกตีความ สร้างใหม่ และให้ความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งโดยชุมชนและผู้ปกครองต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย ทำให้กลายเป็นผืนผ้าใบที่ถักทอเรื่องราวประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอย่างงดงาม
การอนุรักษ์และส่งเสริมแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์เหล่านี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่เพื่อความเข้าใจในอดีต แต่ยังเป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมร่วมสมัยของเชียงราย และสนับสนุนเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย เป็นตัวอย่างของความพยายามในการเฉลิมฉลองและให้ความรู้เกี่ยวกับมรดกนี้ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น ดอยตุง วัดพระแก้ว และเมืองโบราณเชียงแสน เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจของมรดกทางประวัติศาสตร์ การบูรณะวัดพระธาตุดอยตุงให้กลับไปสู่รูปแบบในสมัยครูบาศรีวิชัย สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะเชื่อมโยงกับอดีตที่ได้รับการยกย่องและให้คุณค่า มรดกทางประวัติศาสตร์ของเชียงรายจึงได้รับการจัดการและใช้ประโยชน์อย่างแข็งขันในฐานะทรัพยากรทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ วิธีการตีความและนำเสนอมรดกเหล่านี้ส่งผลต่อทั้งอัตลักษณ์ท้องถิ่นและการรับรู้ของคนภายนอกที่มีต่อจังหวัด
ตารางแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย
ชื่อสถานที่ | ที่ตั้ง (อำเภอ) | ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ | ลักษณะ/ความสำคัญโดยสังเขป |
เมืองโบราณเชียงแสน | เชียงแสน | พุทธศตวรรษที่ 19-24 | อดีตศูนย์กลางสำคัญของหิรัญนครเงินยางและล้านนา มีกำแพงเมือง คูน้ำ และวัดโบราณจำนวนมาก |
วัดเจดีย์หลวง (เชียงแสน) | เชียงแสน | พุทธศตวรรษที่ 19 | วัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน สร้างโดยพญาแสนภู มีเจดีย์แปดเหลี่ยมแบบล้านนา |
วัดพระธาตุดอยตุง | แม่สาย | ตำนานย้อนถึงพุทธศตวรรษที่ 7, พัฒนาต่อเนื่องในสมัยล้านนา | ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย มีเจดีย์คู่แบบล้านนา |
วัดพระแก้ว (เชียงราย) | เมืองเชียงราย | ค้นพบพระแก้วมรกต พ.ศ. 1977 | เดิมชื่อวัดป่าญะ เป็นสถานที่ค้นพบพระแก้วมรกต ปัจจุบันประดิษฐานพระพุทธรูปหยกเชียงราย |
วัดงำเมือง (กู่พญามังราย) | เมืองเชียงราย | สัมพันธ์กับพญามังราย (สวรรคต พ.ศ. 1854) | เชื่อว่าเป็นที่ตั้งสถูปบรรจุพระอัฐิของพญามังราย ผู้สถาปนาเมืองเชียงรายและอาณาจักรล้านนา |
ศูนย์วัฒนธรรมนิทัศน์และพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงราย ๗๕๐ ปี | เมืองเชียงราย | ก่อตั้งในโอกาสครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย (พ.ศ. 2555) | แหล่งเรียนรู้และจัดแสดงประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมของเชียงรายตั้งแต่ยุคโบราณถึงปัจจุบัน |
วัดพระสิงห์ (เชียงราย) | เมืองเชียงราย | สันนิษฐานว่าสร้างในพุทธศตวรรษที่ 20 | วัดเก่าแก่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเชียงราย เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ (ตามตำนาน) มีสถาปัตยกรรมล้านนาที่งดงาม |
มรดกที่ยั่งยืนของเชียงราย
ประวัติศาสตร์ของจังหวัดเชียงรายเป็นการเดินทางอันยาวนานและเปี่ยมสีสัน จากการเป็นศูนย์กลางอำนาจของชาวไทในยุคแรกเริ่ม และเป็นจุดกำเนิดของอาณาจักรล้านนาภายใต้การนำของพญามังราย สู่การเป็นจังหวัดชายแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในประเทศไทยปัจจุบัน เชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นอย่างน่าทึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะเผชิญกับยุคสมัยแห่งการถูกปกครองโดยอำนาจจากภายนอก การลดจำนวนประชากรจนเกือบเป็นเมืองร้าง และการฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่ในภายหลัง ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์และองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ที่หลากหลาย เชียงรายจึงเป็นดั่งเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
ในปัจจุบัน จังหวัดเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญในภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของภาคเหนือ เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ และเป็นประตูการค้าชายแดนที่มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาที่สำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มรดกทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ยังคงเป็นสินทรัพย์อันล้ำค่าของจังหวัด อย่างไรก็ตาม เชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายและโอกาสที่เกี่ยวเนื่องกับที่ตั้งชายแดน ประเด็นด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในอดีต และปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบัน และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง อนาคตของจังหวัดขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจ GMS การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาและความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเชียงราย ตั้งแต่การเป็นเมืองอิสระ การเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร การเป็นเมืองขึ้น และการรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด สะท้อนให้เห็นภาพรวมของรูปแบบทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของภาคเหนือของประเทศไทย ประวัติศาสตร์ของเชียงรายจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกระบวนการสร้างรัฐ ความขัดแย้งระหว่างรัฐ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แรงกดดันจากยุคล่าอาณานิคม และการสร้างชาติ การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของเชียงรายอย่างลึกซึ้งจึงช่วยให้เข้าใจพลวัตทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคภาคเหนือโดยรวมได้ดียิ่งขึ้น
ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ สถานะของเชียงรายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอระหว่างการเป็น “ศูนย์กลาง” เช่น การเป็นเมืองหลวงแรกของพญามังราย หรือการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญ และการเป็น “ชายขอบ” เมื่อเทียบกับเชียงใหม่ในสมัยล้านนา หรือกรุงเทพมหานครในสมัยปัจจุบัน ความสัมพันธ์ที่ไม่หยุดนิ่งกับศูนย์อำนาจที่ใหญ่กว่านี้ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนา เอกราช และอัตลักษณ์ของเชียงราย ประวัติศาสตร์ของเชียงรายจึงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์หากมองแยกส่วน แต่ต้องพิจารณาในบริบทของตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงไปภายในโครงสร้างอำนาจระดับภูมิภาคและระดับชาติที่ใหญ่กว่า ความสามารถในการรักษาเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นไปพร้อมกับการถูกรวมเข้ากับระบบที่ใหญ่กว่า ถือเป็นส่วนสำคัญของมรดกที่ยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย