คู่มือเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหวในไทย ฉบับเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง ปี 2025
การรับมือแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่ในแนววงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงและบ่อยครั้งที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงจากรอยเลื่อนมีพลังภายในประเทศและผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน สถิติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้หลายครั้ง ทั้งที่มีศูนย์กลางภายในประเทศ เช่น ที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ กาญจนบุรี ตาก แพร่ และเพชรบูรณ์ รวมถึงแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ
แผ่นดินไหวภัยธรรมชาติใกล้ตัวคนไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีศูนย์กลางในต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเมียนมาและบริเวณทะเลอันดามัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งวัดความรุนแรงได้ถึงขนาด 7.7 ตามรายงาน USGS และ AHA Centre หรือ 8.2 ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาไทย ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ถือเป็นเครื่องเตือนใจครั้งสำคัญ แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์ครั้งนั้นรับรู้ได้ในพื้นที่ถึง 63 จังหวัดของประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานคร สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด และน่าเศร้าที่มีรายงานอาคารถล่มในกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า แม้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวจะอยู่ไกลออกไป แต่ผลกระทบสามารถส่งมาถึงประเทศไทยได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในอาคารสูง
ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทย รู้ไว้…ไม่ประมาท
ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ รอยเลื่อนมีพลัง (Active Faults) ซึ่งเป็นรอยแตกของเปลือกโลกที่ยังคงมีการเคลื่อนตัวอยู่ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ได้ระบุว่ามีกลุ่มรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยจำนวน 16 กลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่พาดผ่านในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ของประเทศ.
พื้นที่เสี่ยงภัยหลักตามแนวรอยเลื่อนเหล่านี้ ได้แก่:
- ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรอยเลื่อนพาดผ่านหลายแนว เช่น รอยเลื่อนแม่จัน แม่อิง แม่ทา แม่ฮ่องสอน เมย เถิน พะเยา ปัว และอุตรดิตถ์ พื้นที่เหล่านี้มีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ในอดีต
- ภาคตะวันตก: จังหวัดกาญจนบุรี ตาก สุพรรณบุรี และอุทัยธานี ซึ่งมีรอยเลื่อนสำคัญคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ บริเวณเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางหลายครั้ง
- ภาคใต้: จังหวัดระนอง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สุราษฎร์ธานี กระบี่ และภูเก็ต ซึ่งมีรอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุ่ยพาดผ่าน
นอกเหนือจาก 16 รอยเลื่อนหลักนี้ กรมทรัพยากรธรณียังคงศึกษาและเฝ้าระวังความเป็นไปได้ของรอยเลื่อนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน (Hidden Faults) ซึ่งอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ในอนาคต
ตารางที่ 1: กลุ่มรอยเลื่อนมีพลัง 16 กลุ่มในประเทศไทยและจังหวัดที่พาดผ่าน (ข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณี)
ลำดับ | ชื่อกลุ่มรอยเลื่อน | จังหวัดที่พาดผ่าน |
1 | กลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน (Mae Chan) | เชียงราย, เชียงใหม่ |
2 | กลุ่มรอยเลื่อนแม่อิง (Mae Ing) | เชียงราย |
3 | กลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน (Mae Hong Son) | แม่ฮ่องสอน, ตาก |
4 | กลุ่มรอยเลื่อนเมย (Mae Moei) | ตาก, กำแพงเพชร |
5 | กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา (Mae Tha) | เชียงใหม่, ลำพูน, เชียงราย |
6 | กลุ่มรอยเลื่อนเถิน (Thoen) | ลำปาง, แพร่ |
7 | กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา (Phayao) | พะเยา, เชียงราย, ลำปาง |
8 | กลุ่มรอยเลื่อนปัว (Pua) | น่าน |
9 | กลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ (Uttaradit) | อุตรดิตถ์ |
10 | กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ (Three Pagodas) | กาญจนบุรี |
11 | กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ (Si Sawat) | กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, อุทัยธานี, ตาก |
12 | กลุ่มรอยเลื่อนระนอง (Ranong) | ระนอง, ชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์, พังงา |
13 | กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย (Khlong Marui) | สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา, ภูเก็ต |
14 | กลุ่มรอยเลื่อนเพชรบูรณ์ (Phetchabun) | เพชรบูรณ์, เลย |
15 | กลุ่มรอยเลื่อนแม่ลาว (Mae Lao) | เชียงราย |
16 | กลุ่มรอยเลื่อนเวียงแหง (Wiang Haeng) | เชียงใหม่ |
ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ แม้แต่พื้นที่ที่ไม่ได้อยู่บนแนวรอยเลื่อนโดยตรง เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยเฉพาะแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น รอยเลื่อนสะกายในเมียนมา หรือแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลอันดามัน ลักษณะทางธรณีวิทยาของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นดินอ่อน สามารถขยายความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนได้ และอาคารสูงมีความอ่อนไหวต่อการสั่นไหวจากแผ่นดินไหวระยะไกลมากกว่าอาคารเตี้ย เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อเดือนมีนาคม 2568 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงความเปราะบางนี้
ทำไมต้องเตรียมพร้อม?
หัวใจสำคัญของการรับมือแผ่นดินไหวคือ “การเตรียมพร้อม” เนื่องจากแผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าอาจให้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการอพยพหรือเตรียมการใดๆ หากไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
ผลกระทบจากแผ่นดินไหวอาจรุนแรงและหลากหลาย ตั้งแต่ความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและทรัพย์สิน การพังทลายของสิ่งปลูกสร้าง การบาดเจ็บและเสียชีวิต อัคคีภัยจากแก๊สรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร การหยุดชะงักของระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา การสื่อสาร ความเสียหายต่อเส้นทางคมนาคม ถนน สะพาน และผลกระทบทางด้านจิตใจของผู้ประสบภัย ในกรณีที่แผ่นดินไหวเกิดใต้ทะเล อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาได้
การเตรียมพร้อมจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุ ลดความตื่นตระหนก และช่วยให้ฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การเตรียมพร้อมไม่ใช่เรื่องของการตื่นกลัว แต่เป็นการเพิ่มความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างมีสติและปลอดภัย
เตรียมพร้อมรับมือ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว
การลงมือปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุการณ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถควบคุมและจัดการความเสี่ยงต่างๆ ได้มากที่สุด การเตรียมพร้อมที่ดีจะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำรวจบ้านและอาคาร: เสริมความแข็งแรง ลดความเสี่ยง
ความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ควรตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างบ้านหรืออาคารที่พักอาศัย โดยเฉพาะบ้านเก่าหรืออาคารที่ไม่ได้ออกแบบตามมาตรฐานการต้านทานแผ่นดินไหวล่าสุด หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างเพื่อประเมินความแข็งแรงและขอคำแนะนำในการเสริมความมั่นคง กรมทรัพยากรธรณีทำงานร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมืองในการปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบอาคารในพื้นที่เสี่ยงภัย
นอกเหนือจากโครงสร้างหลักแล้ว สิ่งของภายในบ้านก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม:
- ยึดเฟอร์นิเจอร์: ตู้หนังสือ ชั้นวางทีวี ตู้โชว์ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักมาก ควรยึดติดกับผนังให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการล้มทับขณะเกิดการสั่นไหว
- จัดเก็บสิ่งของ: ไม่ควรวางสิ่งของหนัก เช่น กรอบรูป กระจก หรือวัตถุตกแต่ง ไว้บนชั้นสูงเหนือเตียงนอน โซฟา หรือบริเวณที่นั่งพักผ่อน ควรเก็บสิ่งของที่มีน้ำหนักมากหรือแตกหักง่าย (เช่น เครื่องแก้ว เซรามิก) ไว้ในตู้ชั้นล่าง หรือลิ้นชักที่ปิดสนิทและอาจมีตัวล็อก.30
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแก๊ส: ตรวจสอบและซ่อมแซมสายไฟที่ชำรุด และจุดเชื่อมต่อแก๊สที่อาจรั่วซึม เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดแก๊ส วาล์วปิดน้ำ และสะพานไฟหลัก (เบรกเกอร์) และเรียนรู้วิธีปิดเมื่อจำเป็น
- ยึดสิ่งของบนเพดาน: ตรวจสอบและยึดโคมไฟ พัดลมเพดาน หรือสิ่งของอื่นๆ ที่แขวนอยู่บนเพดานให้แข็งแรง
- เก็บสารเคมีอันตราย: สารเคมี วัตถุไวไฟ หรือยาฆ่าแมลง ควรเก็บไว้ในตู้ชั้นล่างที่ปิดมิดชิดและล็อกแน่นหนา
การจัดการกับสิ่งของภายในบ้านเหล่านี้ แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากสิ่งของตกหล่นหรือล้มทับได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุการบาดเจ็บที่พบบ่อยในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
จัดเตรียม “ชุดยังชีพฉุกเฉิน” พร้อมใช้เมื่อภัยมา
ในสถานการณ์ภัยพิบัติ ระบบสาธารณูปโภคอาจหยุดชะงัก และความช่วยเหลือจากภายนอกอาจยังมาไม่ถึง การมี “ชุดยังชีพฉุกเฉิน” (Emergency Survival Kit) เตรียมไว้ จะช่วยให้สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้ในช่วง 72 ชั่วโมงแรก หรือนานกว่านั้น.26 ควรจัดเตรียมชุดยังชีพไว้ในจุดที่หยิบฉวยได้ง่าย ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และอาจมีชุดเล็กๆ ติดรถไว้.26
ตารางที่ 2: รายการสิ่งของจำเป็นในชุดยังชีพฉุกเฉิน
หมวดหมู่ | รายการสิ่งของ | หมายเหตุ/คำแนะนำ |
น้ำและอาหาร | น้ำดื่มสะอาด | อย่างน้อย 3-4 ลิตรต่อคนต่อวัน |
อาหารแห้ง/สำเร็จรูป/กระป๋อง | ที่เก็บได้นาน ไม่ต้องแช่เย็น และเปิดทานได้ง่าย (พร้อมที่เปิดกระป๋องแบบไม่อัตโนมัติ) | |
อุปกรณ์ให้แสงสว่างและการสื่อสาร | ไฟฉาย | พร้อมถ่านสำรอง หรือแบบมือหมุน/พลังงานแสงอาทิตย์ 27 |
วิทยุ AM/FM | แบบใช้ถ่านหรือมือหมุน เพื่อรับฟังข่าวสาร 27 | |
แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) | สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ | |
นกหวีด | สำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ 31 | |
ปฐมพยาบาลและสุขอนามัย | ชุดปฐมพยาบาล | พร้อมคู่มือการใช้งาน 27 |
ยาประจำตัว | สำหรับสมาชิกในครอบครัวที่มีโรคประจำตัว (สำรองอย่างน้อย 7 วัน) 24 | |
หน้ากากอนามัย/ผ้าปิดจมูก | ป้องกันฝุ่นละออง 26 | |
เจลล้างมือ/สบู่แห้ง | ||
ทิชชูเปียก/ทิชชูแห้ง | ||
ถุงขยะ | สำหรับจัดการขยะและเป็นถุงสุขาฉุกเฉิน | |
เครื่องมือและอุปกรณ์อื่นๆ | ประแจ/คีม | สำหรับปิดวาล์วแก๊ส/น้ำ 27 |
เทปกาวผ้า (Duct Tape) | ใช้งานได้หลากหลาย | |
ถุงมือทำงาน/ถุงมือผ้า | ป้องกันการบาดเจ็บจากเศษซาก 31 | |
รองเท้าผ้าใบ/รองเท้าหุ้มส้น | ที่แข็งแรง สวมใส่สบาย 28 | |
เสื้อผ้าสำรอง | รวมถึงเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว 31 | |
ผ้าห่มฉุกเฉิน (Emergency Blanket) | ||
แผนที่ท้องถิ่น | กรณีระบบนำทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้ไม่ได้ | |
เอกสารสำคัญและเงินสด | สำเนาเอกสารสำคัญ | บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารประกันภัย เอกสารทางการแพทย์ ฯลฯ (เก็บในถุงกันน้ำ) |
เงินสด | จำนวนหนึ่ง เผื่อระบบ ATM/บัตรเครดิตใช้ไม่ได้ | |
รายชื่อผู้ติดต่อฉุกเฉิน | ||
สำหรับเด็กเล็ก/ผู้สูงอายุ/ผู้พิการ/สัตว์เลี้ยง | อาหาร นม ผ้าอ้อม ยา อุปกรณ์จำเป็น | ตามความต้องการเฉพาะ |
หมายเหตุ ควรตรวจสอบและหมุนเวียนสิ่งของในชุดยังชีพทุก 6 เดือน โดยเฉพาะอาหาร น้ำ ยา และแบตเตอรี่
วางแผนครอบครัว รู้จุดนัดพบ รู้วิธีติดต่อ
การมีแผนรับมือร่วมกันในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ควรพูดคุยกันถึง
- จุดปลอดภัยในบ้าน: กำหนดจุดที่ปลอดภัยในแต่ละห้อง เช่น ใต้โต๊ะที่แข็งแรง หรือชิดผนังด้านในที่ไม่มีหน้าต่างหรือสิ่งของแขวนอยู่
- จุดนัดพบ: กำหนดจุดนัดพบ 2 จุด คือ จุดใกล้บ้าน (กรณีต้องอพยพออกจากบ้านทันที) และจุดนอกละแวกบ้าน (กรณีไม่สามารถกลับเข้าพื้นที่ได้)
- การติดต่อสื่อสาร: กำหนดบุคคลติดต่อหลักนอกพื้นที่ (เช่น ญาติหรือเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัด) ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปแจ้งสถานะได้ เนื่องจากสายโทรศัพท์ทางไกลอาจใช้งานได้ดีกว่าสายในพื้นที่ประสบภัย
- แผนอพยพ: ทราบเส้นทางอพยพออกจากบ้านและชุมชน และฝึกซ้อมการอพยพเป็นครั้งคราว
เรียนรู้และฝึกซ้อม การปฐมพยาบาลและการปิดสาธารณูปโภค
ความรู้และทักษะพื้นฐานสามารถช่วยชีวิตได้
- การปฐมพยาบาล: เข้ารับการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในกรณีบาดเจ็บ
- การปิดสาธารณูปโภค: เรียนรู้วิธีและตำแหน่งในการปิดวาล์วแก๊ส วาล์วน้ำ และเบรกเกอร์ไฟฟ้าหลักของบ้าน ข้อควรจำ: ควรปิดแก๊สก็ต่อเมื่อได้กลิ่นแก๊สรั่ว หรือสงสัยว่าท่อแก๊สเสียหายเท่านั้น และควรปิดไฟฟ้าหากสงสัยว่าระบบไฟฟ้าเสียหาย
- การดับเพลิง: มีเครื่องมือดับเพลิงขนาดเล็กไว้ในบ้าน และเรียนรู้วิธีใช้งาน
การเตรียมพร้อมเหล่านี้เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัย ที่ทุกคนสามารถทำได้ และจะสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
เผชิญเหตุการณ์ขณะเกิดแผ่นดินไหว
ช่วงเวลาที่แผ่นดินกำลังสั่นไหว อาจกินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที แต่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด การปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและมีสติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
หลักการสำคัญ “หมอบ ป้อง เกาะ”
หลักการสากลที่ได้รับการยอมรับและแนะนำอย่างกว้างขวางคือ “หมอบ ป้อง เกาะ”
- หมอบ (DROP): ทรุดตัวลงกับพื้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันการล้ม
- ป้อง (COVER): หาที่กำบังโดยมุดเข้าไปใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง หากไม่มี ให้เคลื่อนตัวไปชิดผนังด้านใน (ที่ไม่ใช่ผนังด้านนอกอาคาร) และใช้แขนกำบังศีรษะและลำคอ อยู่ให้ห่างจากหน้าต่าง กระจก หรือสิ่งของที่อาจตกหล่นใส่
- เกาะ (HOLD ON): ยึดที่กำบัง (เช่น ขาโต๊ะ) ไว้ให้มั่น และเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ตามหากที่กำบังเคลื่อนที่ รอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลง
การปฏิบัติตามหลักการนี้จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากสิ่งของตกหล่นหรืออาคารถล่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
เมื่ออยู่ในอาคาร
- ปฏิบัติตามหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” ทันที
- อยู่ห่างจาก: หน้าต่าง ประตูกระจก ผนังด้านนอกอาคาร ตู้หนังสือ โคมไฟ หรือเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่อาจล้มทับ
- หากอยู่บนเตียง: ให้คงอยู่บนเตียง ใช้หมอนป้องกันศีรษะ เว้นแต่เตียงอยู่ใต้โคมไฟขนาดใหญ่หรือสิ่งของที่อาจตกลงมา
- ห้ามวิ่งออกนอกอาคาร: อันตรายส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกอาคารจากเศษวัสดุที่ร่วงหล่น หรือโครงสร้างที่พังทลาย ให้อยู่ในอาคารจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลงและแน่ใจว่าปลอดภัยที่จะออกมา
- ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด: ลิฟต์อาจหยุดทำงานหรือเกิดความเสียหาย ทำให้ติดค้างอยู่ภายใน หากกำลังอยู่ในลิฟต์ ให้กดปุ่มทุกชั้นและพยายามออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดในชั้นที่ปลอดภัย
- หากอยู่ในอาคารสูง: ปฏิบัติตามหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” เตรียมพร้อมสำหรับเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้หรือระบบสปริงเกลอร์ทำงาน เมื่อการสั่นสะเทือนหยุดลง ให้ประเมินสถานการณ์ หากจำเป็นต้องอพยพ ให้ใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น
- หากอยู่ในที่ชุมชน: เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ให้ “หมอบ ป้อง เกาะ” ณ จุดที่อยู่ อย่ากรูกันไปที่ทางออก ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
- การปิดแก๊ส/เปิดประตู: หากกำลังทำอาหาร ให้รีบปิดเตาแก๊ส เฉพาะในกรณีที่ทำได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ก่อนที่จะหมอบหาที่กำบัง อาจพิจารณาเปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งไว้เล็กน้อยก่อนหาที่กำบัง เพื่อป้องกันประตูกรอบบิดเบี้ยวจนเปิดไม่ได้หลังแผ่นดินไหว
เมื่ออยู่นอกอาคาร
- เคลื่อนตัวไปยังที่โล่ง: หาที่โล่งแจ้ง ห่างจากอาคาร เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ กำแพง สะพานลอย หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่อาจล้มทับหรือมีเศษวัสดุร่วงหล่น
- หมอบลงกับพื้น: เมื่ออยู่ในที่โล่งแล้ว ให้หมอบลงกับพื้นและใช้แขนป้องกันศีรษะ รอจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุดลง.
เมื่ออยู่ในรถยนต์
- หยุดรถในที่ปลอดภัย: ชะลอความเร็วและจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการจอดใต้สะพาน ทางยกระดับ ใต้สายไฟฟ้า ใต้ต้นไม้ หรือใกล้อาคาร
- อยู่ในรถ: คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ และอยู่ในรถจนกว่าการสั่นสะเทือนจะหยุด ดึงเบรกมือ
- เปิดไฟฉุกเฉิน: เพื่อเป็นสัญญาณเตือนรถคันอื่น
- ฟังวิทยุ: ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากทางการ
- ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง: เมื่อการสั่นสะเทือนหยุดลง ให้ขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง สังเกตความเสียหายของถนนและสะพาน
ข้อควรจำ: มีสติ ไม่ตื่นตระหนก
สิ่งสำคัญที่สุดในระหว่างเกิดเหตุคือการ “ตั้งสติ” ความตื่นตระหนกจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดและเพิ่มความเสี่ยงต่ออันตราย พยายามควบคุมความกลัว หายใจลึกๆ และปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยที่ได้เรียนรู้มา การกระทำตามสัญชาตญาณ เช่น การวิ่งหนีออกจากอาคารทันที มักเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ฟื้นฟูและรับมือหลังเกิดแผ่นดินไหว
เมื่อการสั่นสะเทือนครั้งแรกสิ้นสุดลง ภัยยังไม่จบสิ้น การปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในช่วงหลังเกิดเหตุมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและการฟื้นฟู
ตรวจสอบตนเองและคนรอบข้าง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- สำรวจการบาดเจ็บ: ตรวจสอบตนเองและบุคคลรอบข้างว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่.27
- ปฐมพยาบาล: หากมีการบาดเจ็บ ให้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามความรู้ความสามารถ.27
- ช่วยเหลือผู้อื่น: หากปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่หรือบาดเจ็บ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นสำคัญ.
ประเมินความปลอดภัย ตรวจสอบอาคารและสภาพแวดล้อม
- ตรวจสอบอาคาร: สำรวจความเสียหายของอาคารที่พักอาศัยหรืออาคารที่อยู่ หากพบรอยร้าวขนาดใหญ่ โครงสร้างเสียหาย หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ให้อพยพออกจากอาคารทันที อย่าเพิ่งกลับเข้าไปจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญ
- ตรวจสอบแก๊สรั่ว: ใช้การดมกลิ่น เท่านั้น เพื่อตรวจสอบว่ามีแก๊สรั่วหรือไม่ ห้ามจุดไฟหรือทำให้เกิดประกายไฟเด็ดขาด หากได้กลิ่นแก๊ส ให้รีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ปิดวาล์วแก๊สหลักที่ถังแก๊สหรือมิเตอร์ แล้วออกจากอาคารทันที แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจสอบไฟฟ้า: สังเกตความเสียหายของสายไฟ ประกายไฟ หรือกลิ่นไหม้ หากพบความผิดปกติ ให้รีบตัดกระแสไฟฟ้าที่เบรกเกอร์หลัก
- ตรวจสอบระบบน้ำและท่อระบายน้ำ: ตรวจสอบความเสียหายของท่อน้ำดีและท่อน้ำทิ้งก่อนใช้งาน
- เปิดตู้ด้วยความระมัดระวัง: สิ่งของภายในตู้อาจเลื่อนหล่นลงมาได้เมื่อเปิดประตู
- ทำความสะอาดสารเคมี: หากมีสารเคมี ยาฆ่าแมลง หรือวัตถุไวไฟหกหล่น ให้รีบทำความสะอาดด้วยความระมัดระวัง
ระวังอาฟเตอร์ช็อก
แผ่นดินไหวขนาดใหญ่มักจะมี อาฟเตอร์ช็อก (Aftershocks) หรือแผ่นดินไหวตาม เกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาจเกิดต่อเนื่องนานหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหลายเดือน อาฟเตอร์ช็อกอาจมีความรุนแรงพอที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมให้กับอาคารที่อ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้น ต้องเตรียมพร้อมที่จะ “หมอบ ป้อง เกาะ” อีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน การติดตามสถานการณ์อาฟเตอร์ชอกจากหน่วยงานราชการเป็นสิ่งจำเป็น
ติดตามข่าวสารจากทางการ (Follow Official Information)
ในภาวะวิกฤต ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:
- รับฟังประกาศ: เปิดวิทยุที่ใช้ถ่านไฟฉาย หรือติดตามข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) หรือสำนักงานเขต/จังหวัด ผ่านช่องทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดียทางการ
- อย่าหลงเชื่อข่าวลือ: ไม่ส่งต่อหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะอาจสร้างความสับสนและความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
การสื่อสาร ใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็น
ระบบสื่อสารอาจขัดข้องหรือมีผู้ใช้งานหนาแน่นหลังเกิดภัยพิบัติ:
- สงวนช่องสัญญาณ: ใช้โทรศัพท์เฉพาะกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เพื่อให้สายว่างสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
- ใช้ข้อความสั้น (SMS): หากต้องการติดต่อครอบครัวหรือเพื่อน การส่งข้อความสั้นอาจมีโอกาสสำเร็จมากกว่าการโทรศัพท์ เนื่องจากใช้ช่องสัญญาณน้อยกว่า
ออกจากพื้นที่อันตรายไม่เข้าใกล้อาคารเสียหาย
- หลีกเลี่ยงอาคารที่เสียหาย: ห้ามเข้าไปในอาคารที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากอาจเกิดการพังถล่มลงมาได้.28
- ระวังสายไฟฟ้า: อยู่ให้ห่างจากสายไฟฟ้าที่ขาดหรือห้อยลงมา และวัตถุทุกชนิดที่สัมผัสกับสายไฟ.27
- ระวังสึนามิ (หากอยู่ใกล้ชายฝั่ง): หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหรือรู้สึกสั่นไหวนานขณะอยู่บริเวณชายฝั่ง ให้อพยพขึ้นที่สูงทันทีหลังการสั่นสะเทือนหยุดลง โดยไม่ต้องรอประกาศเตือนภัย เพราะอาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้.25
- อย่าเป็นไทยมุง: การเข้าไปมุงดูในพื้นที่ประสบภัยหรือบริเวณอาคารที่เสียหาย จะกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยและอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง.28
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน: หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณที่มีเศษซากปรักหักพัง ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นที่แข็งแรง กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว และถุงมือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ.28
หากติดอยู่ใต้ซากอาคาร
- ป้องกันระบบหายใจ: ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือเศษผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการสูดดมฝุ่นละออง.26
- ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ: พยายามเคาะท่อหรือผนังเป็นจังหวะ หรือใช้เสียงนกหวีด (หากมีในชุดยังชีพ) เพื่อให้หน่วยกู้ภัยทราบตำแหน่ง.26 การตะโกนควรทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะอาจทำให้สูดฝุ่นเข้าไปมากขึ้นและเปลืองพลังงาน.31
- อยู่อย่างสงบ: พยายามตั้งสติและอยู่อย่างสงบ ไม่จุดไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น.31
การปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมที่ยังคงมีความไม่แน่นอนหลังเกิดแผ่นดินไหว
หน่วยงานช่วยเหลือและแหล่งข้อมูล
เมื่อเกิดภัยพิบัติ การทราบช่องทางการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่างๆ ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง แจ้งเตือน ให้ความช่วยเหลือ และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหว
หน่วยงานหลักภาครัฐ
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย: เป็นหน่วยงานหลักในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ มีหน้าที่วางแผน ป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟู รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ปภ. ยังดูแล ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนภัยต่างๆ รวมถึงแผ่นดินไหวและสึนามิ
- กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: มี กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ทำหน้าที่ตรวจวัด ติดตาม และรายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวทั้งในและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลขนาด ตำแหน่ง และความลึกของแผ่นดินไหวมาจากหน่วยงานนี้เป็นหลัก
- กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ศึกษาและประเมินความเสี่ยงทางธรณีวิทยา รวมถึงการสำรวจและจัดทำแผนที่รอยเลื่อนมีพลัง ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว.
- กรุงเทพมหานคร (กทม.): โดย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) รับผิดชอบการจัดการภัยพิบัติในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงการดับเพลิง กู้ภัย และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
- กระทรวงสาธารณสุข (สธ.): ดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ รวมถึงการดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัยผ่านสายด่วนสุขภาพจิต สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) บริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669
- กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย: เกี่ยวข้องกับการออกมาตรฐานและกฎหมายควบคุมอาคาร เพื่อให้มีความต้านทานต่อแรงแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงภัย
ช่องทางติดต่อและเว็บไซต์สำคัญ
การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงช่องทางการขอความช่วยเหลือ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤต
ตารางที่ 3: ช่องทางติดต่อและแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแผ่นดินไหว
หน่วยงาน/ประเภทบริการ | ช่องทางติดต่อ/เว็บไซต์ | หมายเลขโทรศัพท์/Hotline |
แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทั่วไป | สถานีตำรวจในพื้นที่ | 191 |
แจ้งเหตุอัคคีภัย/กู้ภัย (กทม.) | สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. (สปภ.) | 199 |
แจ้งเหตุ/ขอความช่วยเหลือด้านสาธารณภัย | กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) | 1784 |
เว็บไซต์ ปภ. | www.disaster.go.th | |
LINE ปภ. รับแจ้งเหตุ | @1784DDPM | |
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) | 1860 , 02-399-4114 | |
เว็บไซต์ ศภช. | ndwc.disaster.go.th | |
ข้อมูลแผ่นดินไหว | กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) | 1182 (สายด่วนกรมอุตุฯ) |
เว็บไซต์ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว | earthquake.tmd.go.th | |
เว็บไซต์สำรอง กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว | eq.tmd.go.th | |
แอปพลิเคชัน EarthquakeTMD | ||
ข้อมูลรอยเลื่อน/ธรณีวิทยา | กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) | 02-621-9700 |
เว็บไซต์ ทธ. | www.dmr.go.th | |
บริการการแพทย์ฉุกเฉิน | สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) | 1669 |
สุขภาพจิต | กรมสุขภาพจิต | 1323 |
ศูนย์เยียวยาจิตใจ (ช่วงวิกฤต) | 1667 41 | |
ขอความช่วยเหลือ/บริจาค | สภากาชาดไทย | 1664 |
เว็บไซต์ สภากาชาดไทย | www.redcross.or.th | |
ศูนย์รับบริจาค สภากาชาดไทย | donationhub.or.th 57, ธ.ไทยพาณิชย์ บัญชี “สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ” 045-3-04637-0 58 | |
ติดต่อ กทม. (ทั่วไป) | ศูนย์เรื่องราวร้องทุกข์ กทม. | 1555 |
องค์กรอื่นๆ
- สภากาชาดไทย: มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงแผ่นดินไหว โดยมีสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ และสถานีกาชาดในภูมิภาคต่างๆ ทำหน้าที่มอบชุดธารน้ำใจ (ถุงยังชีพ) จัดหาที่พักพิงชั่วคราว ให้บริการทางการแพทย์ และรับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย.55
- มูลนิธิและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs): มีหลายองค์กรที่ทำงานด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งอาจเข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละองค์กร.
การขอรับความช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือที่อยู่อาศัยจากเหตุแผ่นดินไหว สามารถยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด
- ช่องทางการยื่นเรื่อง: โดยทั่วไปจะต้องยื่นคำร้อง ณ สำนักงานเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล, อบต.) หรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ต่างจังหวัด
- เอกสารหลักฐาน: อาจต้องใช้เอกสาร เช่น แบบคำร้อง สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่ายความเสียหาย หรือใบรับรองแพทย์ (กรณีบาดเจ็บ)
- ระยะเวลา: ควรยื่นคำร้องภายในระยะเวลาที่กำหนดหลังเกิดเหตุการณ์ (เช่น ภายใน 30 วัน) ซึ่งอาจมีการขยายเวลาได้ตามประกาศของหน่วยงาน
- ประเภทความช่วยเหลือ: อาจครอบคลุมค่าจัดการศพ ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ค่าซ่อมแซมบ้านเรือน หรือความช่วยเหลืออื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ
การมีข้อมูลหน่วยงานและช่องทางติดต่อเหล่านี้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและขอรับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ
บทสรุป เตรียมพร้อมวันนี้ เพื่อความปลอดภัยในวันหน้า
แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างรุนแรง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เผชิญกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งเท่าบางประเทศ แต่ความเสี่ยงนั้นมีอยู่จริง ทั้งจากรอยเลื่อนมีพลังภายในประเทศและจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่เหตุการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่กว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถควบคุมการเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่เราสามารถควบคุมระดับการเตรียมพร้อมของตนเองได้ การเตรียมพร้อมอย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยง ลดความสูญเสีย และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์จริง
หลักการสำคัญที่ควรจดจำและนำไปปฏิบัติ ได้แก่
- รู้ความเสี่ยง (Know the Risk): ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงแผ่นดินไหวในพื้นที่ของตนเองและพื้นที่ใกล้เคียง
- วางแผนครอบครัว (Make a Plan): พูดคุย ตกลง และฝึกซ้อมแผนรับมือร่วมกันในครอบครัว
- เตรียมชุดยังชีพ (Build a Kit): จัดเตรียมสิ่งของจำเป็นให้พร้อมสำหรับดูแลตนเองอย่างน้อย 3 วัน
- เสริมความปลอดภัยในบ้าน (Secure Your Space): ตรวจสอบและยึดสิ่งของที่อาจเป็นอันตรายภายในบ้าน
- รู้วิธีปฏิบัติตน (Know What To Do During & After): จดจำหลัก “หมอบ ป้อง เกาะ” และข้อปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งขณะเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหว
การเตรียมพร้อมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือน่ากลัว แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชน การแบ่งปันความรู้และส่งเสริมให้คนรอบข้างเตรียมพร้อมไปด้วยกัน จะช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยและสังคมที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน เริ่มต้นเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ เพื่อความปลอดภัยในวันหน้า