วิกฤติเศรษฐกิจไทย 2568
Share

วิเคราะห์ 4 วิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568 และผลกระทบต่อ SMEs

วิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจ้างงานและการกระจายรายได้ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 4 วิกฤตสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อ SMEs ไทย พร้อมแนวทางรับมือเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

แนวทางการวิเคราะห์วิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568

บทความนี้วิเคราะห์ถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันของประเทศไทยในช่วงปี 2567-2568 โดยมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 4 วิกฤตการณ์หลัก ได้แก่ ภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ การลดลงอย่างรุนแรงของนักท่องเที่ยวจีนจากปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและกลุ่ม “จีนเทา” ความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่กระทบต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทาน และความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศที่บั่นทอนความเชื่อมั่นและการลงทุน บทความยังได้นำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณจากแหล่งต่างๆ เช่น KKP, NESDC, World Bank และ สสว. เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์แนวโน้ม GDP, เงินเฟ้อ, หนี้ครัวเรือน, และการค้า ตลอดจนเสนอแนะมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อสร้างเสถียรภาพและสนับสนุน SMEs ให้สามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

1. วิกฤตค่าครองชีพสูงกำลังซื้อหดต้นทุนพุ่ง

แม้เงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัว แต่คนไทยยังคงเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 1.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% ต่อปี ข้อมูลปี 2567 ชี้ชัดว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,901 บาท แต่ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงถึง 19,319 บาท ทำให้ครัวเรือนมีรายจ่ายเกินรายได้ถึง 3,418 บาท สถานการณ์นี้ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

ผลกระทบต่อ SMEs

  • ยอดขายลด: กำลังซื้อที่ลดลงส่งผลโดยตรงต่อยอดขายของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 3.0% ในปี 2568 ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า
  • ต้นทุนพุ่ง: SMEs กว่า 95% ระบุว่าได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ทำให้ SMEs กว่า 63.7% กังวลอย่างมาก

2. วิกฤตท่องเที่ยวจีนภาพลักษณ์เสียหายรายได้หดหาย

นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยกำลังหดตัวลงอย่างรุนแรง ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 25-30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ททท. คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2568 อาจเหลือเพียง 4-5 ล้านคน ต่ำกว่าระดับ 11.13 ล้านคนในปี 2562 อย่างมาก

สาเหตุหลัก

  • ปัญหา “จีนเทา” และภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย: กรณีฉาวที่นักแสดงจีนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกในไทย ทำให้เกิดความกังวลว่า “เมืองไทยน่ากลัว” ปัญหา “จีนเทา” และอาชญากรรมไซเบอร์ที่แพร่หลายทางโซเชียลมีเดียในจีน ทำให้ความเชื่อมั่นลดลงอย่างรวดเร็ว
  • การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน: ญี่ปุ่นและมาเลเซียกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงและมีความปลอดภัยสูง สิงคโปร์ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการจัดอีเวนต์ระดับโลก
  • ภาวะเศรษฐกิจจีน: ปัญหาเศรษฐกิจในจีนทำให้ชาวจีนประหยัดค่าใช้จ่ายและหันมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น

ผลกระทบต่อ SMEs

  • รายได้การท่องเที่ยวลดลง: ททท. เตรียมปรับลดเป้าหมายรายได้รวมจากการท่องเที่ยวปี 2568 ลงเหลือ 3 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ 3.4-3.5 ล้านล้านบาท
  • ธุรกิจเกี่ยวเนื่องซบเซา: ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า บริษัททัวร์ และสายการบินได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีน

3. วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงโซ่อุปทานสะดุด

ปัญหาความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจากการอ้างสิทธิ์ทับซ้อน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการค้าชายแดนและ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด่านศุลกากรอรัญประเทศ (สระแก้ว) ซึ่งมีมูลค่าการค้าสูงถึง 40,261 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 หากมีการปิดด่านถาวร ธุรกิจค้าชายแดนรายย่อยจะหยุดชะงักทันที

ผลกระทบต่อ SMEs

  • การขนส่งสินค้าติดขัด: ผู้ส่งออกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือเวลาขนส่งเพื่อป้องกันสินค้าตกค้าง
  • ขาดแคลนวัตถุดิบ: อุตสาหกรรมที่พึ่งพิงวัตถุดิบจากกัมพูชา เช่น โรงงานแป้งมันสำปะหลังและโรงงานอะลูมิเนียม จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดแคลนวัตถุดิบ

4. วิกฤตการเมืองไร้เสถียรภาพ ฉุดรั้งความเชื่อมั่น

ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุน ผู้ประกอบการกว่า 50.3% กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ

ผลกระทบต่อ SMEs:

  • การลงทุนชะลอ: ยอดการจัดตั้งธุรกิจในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2568 ลดลง 4.39% ขณะที่ยอดการเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 8.34%
  • งบประมาณล่าช้า: การยุบสภาอาจทำให้การพิจารณางบประมาณปี 2569 ล่าช้า ซึ่งอาจทำให้ GDP หายไปถึง 1%
  • กระทบการเจรจาการค้า: การเมืองที่ไร้เสถียรภาพอาจกระทบต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งมีเส้นตายสำคัญ และอาจทำให้ไทยต้องจ่ายภาษีแพงกว่าประเทศคู่แข่ง

ก้าวต่อไปของ SMEs ไทย ทางรอดและโอกาส

การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการนโยบายจากภาครัฐอย่างรอบด้านและต่อเนื่อง สำหรับ SMEs การปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง:

  • เสริมสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งทุน: รัฐบาลควรขยายโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
  • ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ: SMEs ควรหาทางควบคุมต้นทุนการผลิต/การดำเนินงาน และพิจารณานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างรายได้ใหม่
  • สร้างความแตกต่างและเข้าถึงตลาดเฉพาะกลุ่ม: พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ สร้างเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
  • กระจายความเสี่ยงด้านตลาด: อย่าพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ควรส่งเสริมตลาดจากประเทศอื่น ๆ และเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สร้างมูลค่าเพิ่ม

เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ด้วยความเข้าใจในสถานการณ์ การปรับตัว และการสนับสนุนจากภาครัฐ SMEs ไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568

บทสรุปท่ามกลางพายุเศรษฐกิจที่กำลังถาโถมในปี 2568

บทสรุปของวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568 ชวนให้เราฉุกคิดถึงอนาคตของ SMEs ไทย ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ ในขณะที่วิกฤตค่าครองชีพกัดกร่อนกำลังซื้อ ภาคการท่องเที่ยวเผชิญภาวะซบเซาจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป ความไม่แน่นอนชายแดนคุกคามการค้า และความผันผวนทางการเมืองบั่นทอนความเชื่อมั่น คำถามสำคัญคือ SMEs จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างไรในภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้

อนาคตของ SMEs ไทยจะไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นโอกาสในการปรับตัวและสร้างสรรค์ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการมองข้ามวิกฤตเฉพาะหน้า และเริ่มวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงตลาดใหม่ การสร้างความแตกต่างในสินค้าและบริการจะช่วยให้ SMEs โดดเด่นในตลาดที่แข่งขันสูง และการกระจายความเสี่ยงโดยไม่พึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป จะเป็นเกราะป้องกันความผันผวนในอนาคต

สำหรับภาครัฐ บทบาทในการสร้างเสถียรภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจคือหัวใจสำคัญ การแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2568 เชิงโครงสร้างอย่างหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และการจัดการปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืน จะเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ SMEs หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐและเอกชน อนาคตของ SMEs ไทยจะไม่ได้เป็นเพียงการอยู่รอด แต่เป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนบนรากฐานของความท้าทายที่ได้เรียนรู้และก้าวผ่านไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องการทั้งวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เรื่องโดย

  • นักเขียนสายเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมโยงแนวโน้มโลกกับชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงินดิจิทัล การปรับตัวในยุคเศรษฐกิจใหม่ หรือบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม เน้นการนำเสนอวิธีการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลง

You may also like...