2025 ปิดฉาก Skype จากผู้บุกเบิกวิดีโอคอลกับการเปลี่ยนผ่านสู่ Microsoft Team
Skype ได้ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้ในวงการเทคโนโลยีการสื่อสาร ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกที่ทำให้การเชื่อมต่อทั่วโลกเป็นไปได้ง่ายและราคาไม่แพง ทำให้การสนทนาทางวิดีโอเป็นเรื่องปกติก่อนที่จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น
การประกาศยุติการให้บริการอย่างเป็นทางการของ Skype โดย Microsoft ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดยุคของหนึ่งในแพลตฟอร์มการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก บริการที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคำพ้องความหมายของการเชื่อมต่อไร้พรมแดนกำลังจะกลายเป็นเพียงความทรงจำในหน้าประวัติศาสตร์เทคโนโลยี บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจการเดินทางอันยาวนานและซับซ้อนของ Skype ตั้งแต่จุดกำเนิดที่เป็นนวัตกรรม ความรุ่งเรืองในยุคทอง ความท้าทายที่นำไปสู่ความเสื่อมถอย ตลอดจนผลกระทบต่อผู้ใช้งานและการก้าวเข้าสู่ยุคของ Microsoft Teams พร้อมทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จและสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
การกำเนิดและการปฏิวัติ Skype จุดประกายการสื่อสารยุคใหม่
Skype ถือกำเนิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2003 จากวิสัยทัศน์ของ Niklas Zennström (ชาวสวีเดน) และ Janus Friis (ชาวเดนมาร์ก) สองผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ร่วมกันในการสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนไฟล์แบบ P2P อย่าง Kazaa ประสบการณ์ดังกล่าวถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา Skype เทคโนโลยีหลักที่ทำให้ Skype แตกต่างและปฏิวัติวงการคือ Voice over Internet Protocol (VoIP) บนสถาปัตยกรรมแบบ Peer-to-Peer (P2P) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโทรหากันผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม ทำให้ค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ โดยเฉพาะระหว่างประเทศลดลงอย่างมากหรือไม่มีเลย ชื่อ “Skype” เองก็สะท้อนถึงแนวคิดนี้ โดยมาจากคำว่า “Sky Peer-to-peer”
เบื้องหลังความสำเร็จทางเทคนิคนี้คือทีมวิศวกรชาวเอสโตเนียผู้มากความสามารถ ประกอบด้วย Ahti Heinla, Priit Kasesalu และ Jaan Tallinn ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ Skype จากความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี P2P ของพวกเขา
Skype ทำให้การสื่อสารด้วยเสียงและวิดีโอคอล ซึ่งเริ่มให้บริการในปี 2006 กลายเป็นเรื่องที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย เพียงแค่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนชื่อของมันกลายเป็นคำกริยาในภาษาอังกฤษ (“to Skype”) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและการผนวกรวมเข้ากับวัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างลึกซึ้ง
ในช่วงแรก Skype ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และธุรกิจขนาดเล็ก เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงผู้คนข้ามพรมแดน สนับสนุนการเรียนการสอนทางไกล และเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการสื่อสารทางธุรกิจระหว่างประเทศ
ยุคทองและการเปลี่ยนมือ ภายใต้การดูแลของยักษ์ใหญ่
ในช่วงรุ่งเรือง ประมาณกลางทศวรรษ 2000 ถึงต้นทศวรรษ 2010 Skype มีฐานผู้ใช้งานที่น่าประทับใจ โดยมีผู้ลงทะเบียนหลายร้อยล้านคน และมีผู้ใช้งานจริงสูงสุดถึง 300 ล้านคนต่อเดือนในปี 2013 ในปี 2010 Skype รองรับการโทรระหว่างประเทศถึง 13% ของทั้งหมดทั่วโลก
การเดินทางของ Skype ผ่านการเปลี่ยนมือหลายครั้ง เริ่มจากการเข้าซื้อโดย eBay ในปี 2005 ด้วยมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ eBay จะมองเห็นศักยภาพในการผนวกรวม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากลักษณะการใช้งานที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการความเป็นส่วนตัวของผู้ซื้อขาย ต่อมาในปี 2009 กลุ่มนักลงทุนที่นำโดย Silver Lake Partners ได้เข้าซื้อกิจการ และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดคือการเข้าซื้อโดย Microsoft ในเดือนพฤษภาคม 2011 ด้วยมูลค่าสูงถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของ Microsoft ในขณะนั้น
Microsoft เข้าซื้อ Skype ด้วยเหตุผลเชิงกลยุทธ์หลายประการ ทั้งการสร้างฐานที่มั่นคงในตลาดการสื่อสารและอุปกรณ์พกพา การเข้าถึงฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ของ Skype ซึ่งมีผู้ใช้งานประมาณ 160-170 ล้านคนในขณะนั้น และศักยภาพในการผนวกรวม Skype เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในเครือ เช่น Windows, Office, Xbox Live และ Lync หลังการเข้าซื้อ Microsoft ได้เริ่มย้ายสถาปัตยกรรมของ Skype จากระบบ P2P ไปสู่บริการคลาวด์บน Azure ซึ่งเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2012-2017 เพื่อปรับปรุงความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัย แต่กระบวนการนี้ก็มีความซับซ้อนและเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิค
สัญญาณแห่งความเสื่อมถอย เมื่อนวัตกรรมหยุดนิ่งและการแข่งขันถาโถม
การเสื่อมถอยของ Skype ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลรวมของแรงกดดันภายนอกและข้อผิดพลาดภายใน ปัญหาสำคัญคือความล้มเหลวในการรักษาแนวทางที่ผู้ใช้เป็นศูนย์กลางในการออกแบบและพัฒนาหลังถูกซื้อกิจการ
คู่แข่งที่เน้นอุปกรณ์พกพา เช่น WhatsApp และ FaceTime ซึ่งรวมเข้ากับระบบปฏิบัติการมือถืออย่างลึกซึ้ง หรือสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงอุปกรณ์พกพาเป็นอันดับแรก รวมถึงเครื่องมือการประชุมทางวิดีโอที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพอย่าง Zoom (เปิดตัวปี 2013) และ Google Meet ได้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างรวดเร็ว Skype ซึ่งมีพื้นฐานมาจากแอปพลิเคชันเดสก์ท็อป ประสบปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้พบว่า Zoom มีความน่าเชื่อถือและกระตุกน้อยกว่า ในขณะที่ Discord ก็เติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มชุมชนเกมเมอร์
นอกจากนี้ ปัญหาภายในก็มีส่วนสำคัญ สถาปัตยกรรม P2P กลายเป็นภาระทางเทคนิคที่ทำให้ Skype สร้างนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็วและปรับตัวได้ยาก โดยเฉพาะสำหรับอุปกรณ์พกพา อินเทอร์เฟซที่ซับซ้อนและไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้จากการอัปเดตหลายครั้ง ทำให้ฟังก์ชันหลักๆ ถูกซ่อนไว้ การออกแบบใหม่ในปี 2017 ที่พยายามเลียนแบบ Snapchat แต่กลับทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจอย่างมาก ก็ส่งผลกระทบอย่างหนัก ปัญหาด้านประสิทธิภาพ เช่น การโทรที่สะดุด สายหลุด โปรแกรมขัดข้องบ่อยครั้ง และมีปัญหาด้านเสียง ก็ทำให้ผู้ใช้ขาดความเชื่อมั่นและหันไปหาทางเลือกอื่น
การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Microsoft ไปให้ความสำคัญกับ Teams ซึ่งเปิดตัวในปี 2017 และถูกวางตำแหน่งให้เป็นศูนย์กลางการสื่อสารและการทำงานร่วมกันสำหรับภาคธุรกิจ โดยนำเสนอการรวมเข้ากับ Microsoft 365 ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้ Skype ถูกลดบทบาทลงเรื่อยๆ การยุติการให้บริการ Skype for Business Online ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2021 โดยผู้ใช้ถูกกระตุ้นให้ย้ายไปยัง Teams เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงชะตากรรมของเวอร์ชันสำหรับผู้บริโภค
วันสุดท้ายของ Skype ผลกระทบและการเปลี่ยนผ่านสู่ Teams
การประกาศปิดตัวของ Skype ในปี 2025 ได้สร้างปฏิกิริยาที่หลากหลายในหมู่ผู้ใช้งาน ตั้งแต่ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อบริการที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไปจนถึงความไม่พอใจและความกังวลเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งาน Skype Numbers และบริการโทรศัพท์ (PSTN) ซึ่ง Microsoft ได้หยุดให้บริการซื้อ Skype Numbers ใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2025 และการต่ออายุอัตโนมัติสำหรับบริการที่มีอยู่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2025 ผู้ใช้จะต้องดำเนินการโอนย้ายหมายเลขไปยังผู้ให้บริการรายอื่นก่อนหมายเลขจะหมดอายุหากต้องการเก็บหมายเลขไว้
Microsoft กำลังส่งเสริมให้ผู้ใช้ย้ายไปใช้ Microsoft Teams (เวอร์ชันฟรี) โดยระบุว่า Teams จะเป็นผู้สืบทอดและมีคุณสมบัติหลักของ Skype เช่น การโทรแบบ 1ต่อ1/กลุ่ม, การส่งข้อความ, การแชร์ไฟล์ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้หลายคนพบว่า Teams มีความซับซ้อนและเป็นทางการมากกว่า ไม่เหมาะกับการสื่อสารส่วนตัวเท่า Skype และ Teams Free ก็ไม่มีฟังก์ชันการโทรไปยังโทรศัพท์พื้นฐาน/มือถือแบบ PSTN เหมือน Skype การสื่อสารข้ามแพลตฟอร์มระหว่าง Skype และ Teams Free จะยังคงได้รับการสนับสนุนในช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงเดือนพฤษภาคม 2025





บุคคลสำคัญเบื้องหลัง Skype และสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
- Niklas Zennström: หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Skype ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Atomico ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital) ที่เน้นการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในยุโรป เขายังคงมีบทบาทสำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและการลงทุน โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาสำคัญของโลก นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรการกุศล Zennström Philanthropies ซึ่งสนับสนุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผู้ประกอบการทางสังคม
- Janus Friis: ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนของ Skype หลังจาก Skype เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัทและโครงการต่างๆ มากมาย ปัจจุบัน Janus Friis เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Starship Technologies ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาระบบหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติขนาดเล็ก เขายังคงมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการลงทุน
- Ahti Heinla: หนึ่งในทีมวิศวกรชาวเอสโตเนียผู้พัฒนา Skype และ Kazaa ปัจจุบัน Ahti Heinla เป็น CEO และ CTO ของ Starship Technologies โดยร่วมก่อตั้งกับ Janus Friis เขายังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์และการขนส่งอัตโนมัติ
- Priit Kasesalu: หนึ่งในนักพัฒนาซอฟต์แวร์หลักของ Skype และ Kazaa ปัจจุบัน Priit Kasesalu เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและทำงานให้กับ Ambient Sound Investments ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนที่ก่อตั้งโดยทีมวิศวกรผู้พัฒนา Skype และ Kazaa
- Jaan Tallinn: อีกหนึ่งวิศวกรคนสำคัญในทีมพัฒนา Skype และ Kazaa ปัจจุบัน Jaan Tallinn มีบทบาทสำคัญในด้านความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์ (AI Safety) และความเสี่ยงเชิงการดำรงอยู่ (Existential Risk) เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรสำคัญหลายแห่ง เช่น Cambridge Centre for the Study of Existential Risk (CSER) และ Future of Life Institute นอกจากนี้ เขายังเป็นนักลงทุนอิสระที่เน้นการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI Safety
บทสรุปมรดกและบทเรียนจาก Skype
Skype ได้ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้ในวงการเทคโนโลยีการสื่อสาร ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกที่ทำให้การเชื่อมต่อทั่วโลกเป็นไปได้ง่ายและราคาไม่แพง ทำให้การสนทนาทางวิดีโอเป็นเรื่องปกติก่อนที่จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าบริการจะสิ้นสุดลง แต่มันได้เปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน
เรื่องราวของ Skype เป็นเครื่องเตือนใจถึงธรรมชาติที่ไม่จีรังของเทคโนโลยี นวัตกรรมที่หยุดนิ่ง การละเลยประสบการณ์ผู้ใช้ และการแข่งขันที่รุนแรง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้แม้แต่แพลตฟอร์มที่เคยยิ่งใหญ่ก็สามารถเสื่อมถอยลงได้ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทแม่ในการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อื่นอย่าง Teams ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของ Skype
แม้ Skype จะกำลังจะจากไป แต่บทเรียนจากเส้นทางการเดินทางของมันจะยังคงอยู่ เป็นกรณีศึกษาที่ทรงพลังเกี่ยวกับความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง การมุ่งเน้นความต้องการของผู้ใช้ และความสามารถในการปรับตัวในภูมิทัศน์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา